วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครจะไปยกมือขึ้น ตอน หาดจันทร์เสี้ยว



อากาศที่หมอชิตอบอ้าวแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างดี
ฉันยืนนิ่ง สายตาเพ่งมองป้ายเหนือช่องขายตั๋วรถสายใต้ เพื่อนที่นั่งรถมาด้วยกันกวาดสายตาไปรอบๆ
"จะไปจริงดิ"
"อือ.."
ตอบโดยไม่ต้องคิด
ไหนๆ ก็ต้องมาอยู่เฉยๆ ตั้งสามวันเพื่อรอทำธุระ
ฉันเลยตัดสินใจง่ายดายที่จะหักหลบออกจากเมืองกรุงที่ฉันไม่ค่อยชอบหน้าไปเถลไถลที่อื่นก่อน

รู้สึกตัวอีกครั้ง ฉันกำลังนั่งฟังเพลงอยู่บนรถทัวร์ที่มุ่งหน้าไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ไม่ทันเย็น ฉันก็ถึงปลายทาง
และก่อนที่ฟ้าจะมืดลง ฉันทันจับเฟอร์รี่รอบสุดท้าย ข้ามไปเกาะพงัน
เคยอ่านเจอบ่อยๆ ว่าผู้คนมักจะไปทะเลเมื่อรู้สึกผิดหวัง
บ้างว่าไปเพื่อให้น้ำทะเลชะล้างใจ บ้างว่าไปเพื่อให้ลืมเรื่องราวข้างหลัง
บทเพลง กวี ละคร ต่างก็มีทะเลเป็นฉากหลังแห่งความเศร้าสร้อยและเยียวยา
แต่การตัดสินใจของฉัน ไม่ได้เกิดจากเหตุผลใดๆ เหล่านั้น

เช้าวันต่อมา เมื่อหามอเตอร์ไซค์ได้ ฉันกางแผนที่หมายจะขี่สำรวจให้รอบเกาะ
แต่แสงแดดหน้าร้อนโลมเลียผิวชั้นแรกจนฉันอยากเพียงนั่งพักรับลมเย็นๆ เท่านั้น
ฉันเลี้ยวรถเข้าข้างทาง ฝ่าพงหญ้ารกๆ เห็นมีร่องรอยการบุกรุกอยู่บ้างแล้ว
จอดมอเตอร์ไซค์หลังหินก้อนใหญ่ มองเห็นทะเลอยู่เบื้องล่าง เดินลัดเลาะไปตามทางเท้าเล็กๆ จนสุดทาง
ฉันต้องลุยคลื่นทะเลระดับเข่าเพื่อเบี่ยงหลบก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทำตัวเป็นผนังกั้นห้องบนชายหาด
เพื่อจะได้พบว่าอีกฟาก คือหาดทรายสีขาวเล็กๆ คล้ายจันทร์เสี้ยว ห้อมล้อมด้วยโขดหิน เถาวัลย์ และต้นไม้ กิ่งไม้แผ่คลุมร่มรื่น ลมพัดเย็น
เป็นที่ๆ ดีที่สุดที่ฉันค้นพบ

ฉันปืนขึ้นไปนั่งบนโขดหิน แบตเตอรี่เครื่องเล่นเอ็มพีสามอ่อนลง ฉันถอดหูฟังออก วางมันข้างๆ ตัว
มองออกไปข้างหน้า ทะเลก็คือทะเล กว้างๆ เวิ้งว้าง แสงแดดกระทบระรอกคลื่นเกิดเป็นประกายระยิบ

ฉันมั่นใจว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากมากในชีวิต
ฉันไม่รู้วิธีจัดการกับความสัมพันธ์ ไม่เข้มแข็งพอที่จะเลือกวิถีการดำรงอยู่ของตัวเอง
แย่ที่สุดคือฉันไม่เคยแน่ใจว่าฉันคือใคร และเกิดมาเพื่อทำอะไรบนโลกใบนี้
แล้วฉันก็นึกถึงการมาทะเลของตัวเอง
หรือจริงๆ แล้ว ฉันเพียงต้องการหลบลี้หนีหน้าเหมือนที่ใครเขาทำกัน

ทอดมองทะเลเงียบๆ
ฉันรู้สึกหงอยเหงา อ่อนไหว ในขณะที่ทะเลสงบนิ่ง ราบเรียบ ผืนน้ำกว้างขวางมั่นคง
ทะเลจะยังอยู่เป็นทะเลไม่ว่าฉันจะจบชีวิตแล้วหรือไม่ ทะเลไม่ใส่ใจการดำรงอยู่ของฉันหรอก
ยิ่งนึกถึงเรื่องราวในใจแล้วทดท้อ อยากกลับไปสู้ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องสู้กับอะไร
เพราะแบบนี้ไง ฉันจึงเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียว
ร้องป่าวในใจว่า โลกนี้จะหมุนยังไง ฉันก็ไม่แคร์

ฉันไม่ยอมให้ใจอ่อนโยนกับธรรมชาติมากนัก
ทะเลสวย หาดสวย ภาพตะวันลับขอบฟ้ายังคงดึงดูดสายตาอย่างที่ทุกคนรู้
แต่ธรรมชาติต่อฉันเวลานี้ เป็นเพียงแค่พื้นที่ ที่ทำให้ฉันรู้สึกสะใจ
เพียงเพราะทะเล ห่างไกลจากหุบเขา
ห่างไกลจากที่ๆ ฉันจากมา
ฉันแค่น้อยใจป่าเขา จึงผละออกมาอ้อนคลื่นเค็มๆ

นั่งนิ่งเงียบงันอยู่อย่างนั้น
จนเมื่อแสงสีทองฉาบทั่วผิวน้ำ ที่สุดขอบทะเล ริ้วเมฆเป็นสีส้มและชมพู
ฉันออกเดิน ทิ้งเพียงรอยเท้าไว้บนหาดจันทร์เสี้ยว
คลื่นทะเลสูงกว่าเข่าเมื่อฉันเบี่ยงหลบหินก้อนใหญ่อีกครั้ง

...

สุดท้ายแล้วฉันก็พาหัวใจดวงเดิมกลับเชียงราย
สถานการณ์เดิมๆ ชวนอึดอัดยังคงอบอวล ไม่จางหาย
ฉันก็ยังเป็นฉันคนเก่า
แต่คราวนี้ ฉันบอกได้ว่าฉันต้องการอะไร

ฉันนึกพอใจที่ตัดสินใจไปทะเล.



3 ความคิดเห็น:

  1. บรรยากาศเหงาหงอย แต่ก็ทำให้ใจผลิบาน

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วเกินคำบรรยายจริงๆ
    ไม่รู้จะบอกว่ายังไง

    แต่....

    อ่านแล้ว ชอบมากค่ะ กริ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    aikka

    ตอบลบ
  3. เข้มแข็ง

    กับการอยู่กับตัวเอง

    ยอมรับในสิ่งที่เห็น ในสิ่งที่เจอ และสิ่งที่เป็น


    sincera

    ตอบลบ