วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

+-+-+-+คู่มือเที่ยวกัมพูชาและนครวัดด้วยตัวเอง ฉบับบดินทร์ ตอนที่ 1 การเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวนครวัด+-+-+-+

+-+-+-+คู่มือเที่ยวกัมพูชาและนครวัดด้วยตัวเอง ฉบับบดินทร์ ตอนที่ 1+-+-+-+

บทความโดยบดินทร์

ภาพประกอบโดยไพโรจน์, พี่ต้อม, บดินทร์
update ตอนที่ 1 ฉบับสมบูรณ์ 4/8/10

***********************************


ปราสาทหิน



อองรี มูโอลด์ นักสำรวจชื่อดังก้องโลก เคยกล่าวไว้ว่า See Angkor, and Die หรือถ้าเห็นนครวัดแล้วท่านก็จะสามารถนอนตายตาหลับได้
คงมีหลายคนที่เคยได้ยินคำกล่าวก้องโลกคำนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะไป See Angkor ก่อนตายตามที่คำกล่าวนี้บอกเอาไว้จริงๆ


นครวัดถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ อลังการ และสวยงามจนน่าทึ่ง
และจะยิ่งทึ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าเมื่อคิดว่าศิลปะทั้งหมดนี้ล้วนถูกสร้างด้วยมนุษย์สมัยก่อนที่ไม่มีเครื่องมือไฮเทคหรือความรู้ทางวิศวะกรรมซับซ้อนเหมือนสมัยนี้ แถมศิลปะอันสวยงามทั้งหมดนั้น ถูกแกะสลักลงบนหิน!
ซึ่งใครที่คิดว่าการแกะสลักบนหินเป็นเรื่องง่าย ขอแนะนำว่าให้ลองหาหินมาลองแกะสลักเป็นชื่อของตัวเองดูเล่นๆ แล้วจะรู้ว่า กว่าจะกระแซะหินให้เป็นรอยแต่ละทีนั้นมันยากขนาดไหน
ยิ่งถ้าต้องแกะให้เป็นลวดลายวิจิตรตระการตาด้วยแล้วนั้นทำยากยิ่งเข็นครกขึ้นภูกระดึงหลายเท่า จึงไม่น่าแปลกใจที่มีหลายคนเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ (แต่จะเป็นฝีมือของอะไรนั้น อันนี้ขออนุญาต No comment)


ยิ่งถ้าคิดว่า สิ่งมหัศจรรย์ระดับนี้อยู่ห่างจากประเทศไทยแค่เพียงไม่กี่กิโลเมตร ราวกับสวรรค์ประเคนมาให้ถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ยิ่งไม่ควรพลาด
แต่น่าเสียดายที่มีหลายท่านยังยึดติดภาพที่น่ากลัวของประเทศนี้หรือมองกัมพูชาเลวร้ายกว่าความเป็นจริง เช่น มีกับระเบิดวางเรียงราย มีสงครามเกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นต้น ซึ่งเราก็ไม่ปฏิเสธว่า สิ่งนั้นเคยเกิดขึ้นกับกัมพูชามาก่อนในอดีต
แต่ปัจจุบันนี้ ประเทศกัมพูชาเริ่มกลับคืนสู่ความสงบและกำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนอาจจะก้าวแซงไทยภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า ในแบบที่เรียกว่าอย่าเผลอเลยทีเดียว


ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์เคยสัมผัสกับนครวัดมาก่อน ซึ่งคำว่าสัมผัสนี้มีความหมายทั้งในเชิงการไปเยี่ยมชมสถานที่และเคยไปสัมผัสแบบลูบไล้และกระซิบใส่ซอกกำแพงแบบที่เหลียงเฉาเหว่ยเคยทำมาก่อนในหนัง In the Mood for Love ของหว่องการ์ไวมาแล้ว
และในทุกครั้งที่ได้ไป ผมได้พบกับประสบการณ์มันๆ มากมาย ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่น ภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากเขียนบทความแนะนำข้อมูลการท่องเที่ยวนครวัดและกัมพูชาดู เผื่อใครที่สนใจอยากจะลองแบกเป้ไปกัมพูชาแต่ยังลังเลอยู่ จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะไปหรือไม่ไปดี (จากการอ่านที่ตัวเองเขียนแล้วคาดว่า ผลจะออกมาเป็นแบบหลังมากกว่าแบบแรก แหะๆๆ)


ก่อนอื่น เรามาดูกันดูกว่าว่า ก่อนจะไปเที่ยวกัมพูชาและนครวัด เราต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง


Road Map to Cambodia



ข้อมูลควรรู้ก่อนไปนครวัด


-แน่นอนว่า การจะไปต่างประเทศ จำเป็นต้องมีพาสปอร์ต รวมถึงประเทศกัมพูชาด้วย ลืมเอากระเป๋าสตางค์ไปยังพอหยิบยืมเพื่อนได้ (แต่พอกลับมาแล้วเพื่อนจะเลิกคบหรือเปล่านั่นอีกเรื่อง) ลืมกระเป๋าเสื้อผ้ากางเกงในยังไปซื้อหาเอาดาบหน้าได้เว้นแต่คุณจะทำบัตรผ่านแดนเพื่อเข้าไปเล่นคาสิโนเท่านั้น
ดังนั้นใครยังไม่มีพาสปอร์ตก็ควรรีบดื่มวีต้าพรุนแล้วไปทำซะ และควรทำล่วงหน้านานสักหน่อยไม่ใช่มาทำเอาตอน 1 วันก่อนไป เพราะไม่งั้นทริปกัมพูชาของคุณอาจกลายเป็นทริปเยี่ยมชมตลาดโรงเกลือ 3 วัน 2 คืนแทนก็ได้


-นอกจากพาสปอร์ตแล้ว วีซ่าก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตไม่แพ้กัน โดยทั่วไปแล้วการเดินทางระหว่างเอเชียอาคเนย์นั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้วีซ่า ยกเว้นแต่เพียง 2 ประเทศนั่นคือ พม่ากับกัมพูชาที่จำเป็นต้องใช้ (อย่าถามผมครับ ผมก็ไม่รู้สาเหตุเช่นเดียวกับคุณน่ะแหละ แหะๆๆ)
สามารถทำวีซ่ากัมพูชาได้ที่สถานทูต หรือไม่ก็จ้างให้เอเย่นต์ที่ถนนข้าวสารทำให้ โดยเตรียมเอกสารประกอบการขอวีซ่า ดังนี้ พาสปอร์ตก่อนหมดอายุ 6 เดือน, รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป, สำเนาบัตรประชาชน และค่าทำวีซ่า 20 ดอลล่าร์ รอ4 วันท่านก็จะได้วีซ่าร้อนๆ มาไว้ในครอบครอง
แต่ถ้าใครไม่มีเวลาไปทำที่นั่น ท่านสามารถมาทำวีซ่าเอาดาบหน้าที่ชายแดนเลยก็ได้ เพียงแต่เขาจะคิดราคาแพงกว่าเดิม 100-200 บาท และอาจทำให้เสียเวลาในการเที่ยวโดยไม่จำเป็น จึงไม่อยากแนะนำให้ทำที่ด่านเท่าไร
วีซ่าเขมรที่ทำเสร็จแล้วจะมีอายุการใช้งาน 1 เดือน นั่นแปลว่า ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ท่านสามารถเข้าออกเขมรได้ตามใจชอบเหมือนบุฟเฟต์ หากท่านกลัวไม่คุ้มค่าวีซ่าก็แนะนำให้ท่านมาเที่ยวบ่อยๆ ได้เลย (แต่สำหรับผมขอสละสิทธิ์ความคุ้มนี้โดยไม่คิดมาก เนื่องจากอิ่มแปล้เต็มที่แล้ว)


-การเดินทางไปเสียมเรียบมีอยู่หลายวิธี ทั้งเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ตีลังกา (จะเอาฮาไปถึงไหนเนี่ยผม) แต่วิธีที่นิยมมีทั้งนั่งรถโตโยต้าแคมรี่ ซึ่งเป็นเหมือนแท็กซี่พาเราไปถึงที่นั่นได้ โดยเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเนื่องจากสะดวกและไม่แพง
ส่วนใครที่แบกเป้มาคนเดียวไม่ต้องกลัวว่าจะจ่ายแพงกว่าทำไมเพราะเขาจะช่วยหาผู้โดยสารท่านอื่นมาช่วยเราแบ่งเบาภาระค่ารถ เว้นแต่คุณจะไม่ชอบนั่งรถกับคนแปลกหน้า ก็ยอมจ่ายเพิ่มอีก (ไม่) หน่อย เพื่อที่จะได้นั่งรถไปคนเดียวก็ได้ นั่งสบายใช้เวลาไม่นานเรียกได้ว่าอ่านมติชนสุดสัปดาห์จบเล่มก็ถึงพอดี
นอกจากนั้นก็มีรสบัสสายปอยเปต-เสียมเรียบอยู่ หรือถ้ารักสะดวกหน่อยก็นั่งเครื่องบินจากกทม.มาลงเสียมเรียบได้เลย (แล้วแบบนี้เขาจะยังเรียกแบกเป้อยู่ไหมฮึ!)


-ที่กัมพูชาใช้เงินสกุลเรียล (Riel) อัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาทเท่ากับ 100 เรียล แต่ที่เสียมเรียบมีความพิเศษ ตรงที่คุณสามารถใช้เงินสกุลดอลลาร์แทนเงินเขมรได้เลย (ส่วนที่ปอยเปตใช้ได้ทั้งเงินดอลลาร์, บาท, เรียล จ่ายเงินทีนึงงงไปเลย)
เพียงแต่การใช้ดอลล่าร์จะขาดทุนกว่าใช้เงินเรียล เพราะถ้าหารแล้วเหลือเป็นเศษ พ่อค้าจะปัดขึ้นให้เขาได้กำไรสถานเดียว จากประวัติศาสตร์การซื้อของที่นี่ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นว่าพ่อค้าจะปัดเศษลงเลยสักครั้ง ของที่เสียมเรียบราคาค่อนข้างแพงตามสไตล์เมืองท่องเที่ยว ถ้าสิ่งไหนดูแล้วต่อราคาได้ให้ต่อไว้ก่อนพ่อสอนไว้


-สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยมักจะมีปัญหาเวลาไปเที่ยวกัมพูชา นั่นคืออาหารการกิน ทั้งเรื่องความสะอาดและความอร่อย สำหรับเรื่องความสะอาดนั้น เราจะเห็นพบร้านแผงลอยที่วางขายอาหารตามถนนลูกรังฝุ่นตลบ อย่างเช่นไก่ย่างที่บางทีเจอฝุ่นละอองจากดินแดงๆ เข้าไปทำให้ไก่กลายเป็นสีแดงได้โดยไม่ต้องทาขมิ้น หรือรถเข็นบางที่ก็ชุกชุมไปด้วยแมลงวันนมองไกลๆ นึกว่าพี่เขาขายแมลงวันทอดอยู่
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในสุขภาพทวารหนักของท่าน โปรดเตรียมยาแก้ท้องเสียไปด้วย หรือไม่ก็ทานอาหารในร้านที่ดูสะอาดสะอ้าน (หวังว่าด้านหลังครัว แม่ครัวจะไม่ถุยน้ำลายลงในจานกับข้าวเป็นพอ) ส่วนเรื่องความอร่อยนั้น จากการตระเวนชิมมาหลายร้าน ขนาดคนลิ้นตะเข้อย่างผมยังต้องบอกว่าอาหารที่นี่ไม่ถูกปากผม (และคนไทยที่ผมรู้จักส่วนใหญ่) อย่างแรง นั่นคือ ถ้าไม่จืดสนิทก็หวานจ๋อยไปเลย พูดง่ายๆ คือ มีครบทุกรสยกเว้นรสอร่อย นี่ถ้าผมเป็นเชลล์คงไม่กล้าให้ป้ายชวนชิมสักร้าน ใครที่พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินควรทำใจเล็กน้อยก่อนไ


-สำหรับคำถามที่ว่า การไปเสียมเรียบนั้นควรซื้อทัวร์ไปหรือแบกเป้ไปเองนั้น ผมซึ่งเคยไปมาแล้วทั้ง 2 แบบคิดว่า ทั้ง 2 แบบมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกัน ถ้าท่านเคยแบกเป้เที่ยวต่างประเทศครั้งแรกหรือคิดว่าสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของตัวเองยังไม่แก่กล้าพอก็ขอแนะนำให้ซื้อทัวร์จะดีกว่าเพราะการแบกเป้เที่ยวที่นี่ลำบากกว่าการแบกเป้เที่ยวลาวหรือเวียดนามมาก
ข้อดีอีกอย่างของการซื้อทัวร์คือ มีไกด์คอยให้คำแนะนำและข้อมูลทางประวัติศาสตร์เวลาเดินดูปราสาทหิน แต่ข้อเสียของการไปกับทัวร์แน่นอนว่าย่อมสนุกสู้ไปเองไม่ได้ แถมยังมีเวลาให้เดินน้อย ถ้าแบกเป้ไปเองจะทำให้เรามีเวลาเดินและจัดสรรเวลาเที่ยวได้ตามใจมากกว่า เพีงแต่จะเดินได้แบบไม่ค่อยสนุก เพราะจะไม่รู้ว่าปราสาทนี้สร้างเมื่อไรหรือเขาแกะสลักหินเป็นเรื่องราวว่าอะไร
ถ้าไม่อยากเสียเวลาถอดรหัสลายหินแบบโรเบิร์ต แลงดอน ขอแนะนำให้ซื้อหนังสือคู่มือดูปราสาทไปด้วย หรือไม่ก็ทำตัวเนียนๆ ไปร่วมฟังกับคณะทัวร์อื่นไปเลยจะดีมาก ส่วนระยะเวลาในการเดินทางนั้น ถ้าไม่หวังเอาดีทางปราสาทหินมากมาย (ขนาดผมที่ชอบดูอะไรแบบนี้ยังเกิดอาการอิ่มปราสาทหลังจากดูได้ 2 วันติด) ขอแนะนำว่าสัก 3-4 วันก็น่าจะพอแล้ว


ค่าใช่จ่ายตลอดการเดินทาง: 3000 - 4000 บาท
เวลาเดินทาง: 4วัน


ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เราก็มาลุยกันเลย!

โปรดติดตามอ่าน ตอนต่อไป ไม่นานเกินรอครับ!!

ด.เด็ก ร.เรือ

3 ความคิดเห็น:

  1. มะปรางแช่อิ่ม18 มีนาคม 2555 เวลา 14:20

    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. ผมว่าจะไปนะครับ แต่ยังไม่เคยออกไปต่างประเทศสักครั้ง ถ้าผมต้องการคำแนะอีกจะได้ไหมครับ รบกวน ติดต่อผมทางเมลืได้ไหมครับ loverpool_mixslove@hotmail.com จะขอบคุณมากครับ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ29 กรกฎาคม 2558 เวลา 02:10

    ผมเองก็ไปเที่ยวเสียมราชคนเดียวมา2หนแล้ว. อยากไปอีกครับติดใจ

    ตอบลบ