เขียนโดย: Martin Page
แปลโดย: อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง
สนพ.: วงกลม
ปีพิมพ์: 2552
ในหน้าคำนำผู้แปลกล่าวว่าเมื่อได้รับต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสของหนังสือเล่มนี้ ลายมือนักเขียน--มาร์แต็ง ปาจ เขียนว่า “หนังสือเล่มนี้พูดถึงความรัก”
ช้ำจนชิน เป็นเรื่องเล่าของชีวิตที่อาจทำให้คนอ่านเหงาได้โดยไม่รู้ตัว แต่กระนั้นก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่ตัวละครทุกคนพยายามบอกให้เรารู้จักปลอบประโลมตัวเอง และดูเหมือนหลายเหตุการณ์จะผูกยึดตัวละครเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกันแล้วดึงทั้งหมดเข้าสู่แกนกลาง โดยเฉพาะแกนกลางที่ชื่อ เอเลียส การ์เนล ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดัง เขามีพรสวรรค์ในการชักจูงคู่สนทนาไปสู่การยอมรับข้อเสนอของเขาด้วยกลยุทธ์ที่อ่อนโยน แต่ทั้งนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง เขารู้จักแสดงความมีจิตใจดีงามกับทุกคน และเมื่อใครสักคนที่ใกล้ชิดตกหลุมรักเขา เขาจะใช้ความละเมียดละไมทำเป็นไม่รู้ เอเลียสเป็นเหมือนกระจกเงา ทุกคนมองเห็นตัวเองในตัวเขา แต่ไม่มีใครเห็นเขา แม้กระทั่งคลาริส เมื่อครั้งที่เธออาการหนัก ติดเหล้า ถูกไล่ออกจากงาน เธอสร้างปัญหามากมาย ทุกสัปดาห์หรือเกือบจะทุกวัน เอเลียสไปรับตัวเธอในสถานที่ต่างๆ สถานีตำรวจ หน่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลโรคจิต เขาช่วยชีวิตเธอ ดูแลเธอเป็นยารักษาโรคของเธอ ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหกปี แต่สิ่งที่เหลืออยู่กับเอเลียสคือ ความทรงจำที่หล่อหลอมจากฝุ่นละอองและความหวาดกลัวของคนที่สูญเสีย ถ้าคลาริสไม่ทิ้งเขา เขาก็จะไม่ทิ้งเธอ เธอนอกใจเขาอย่างเปิดเผย ไม่ได้เพื่อต้องการให้เขาทำอะไรนอกจากรับรู้ ความแตกต่างระหว่างการรู้ความจริงกับการได้ยินความจริงที่เอเลียสสัมผัสได้คือ เวลาที่เรามีความจริงอยู่กับตัว เราอ่อนโยนกับมัน เรารีบเปลี่ยนมันเป็นสัตว์เลี้ยง ลูบตัวมัน ห่มผ้าให้มัน และติดสินบนมันด้วยอาหารนานาชนิดที่เราสร้างขึ้นในจิตใจของเรา เราร้องเพลงกล่อมมันด้วย ดังนั้นแค่เพลงเพลงเดียวก็อาจทำให้เราร้องไห้ให้กับตัวเองได้ คลาริสไปแล้ว เธอหายป่วยแล้ว เอเลียสไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เธอทิ้งความสงสัยไว้ให้กับเอเลียส...สงสัยในเหตุผลของความรักที่เขามีต่อเธอ เอเลียสเคยเชื่อว่ามันมาจากความรัก เพราะไม่มีใครบอกเขาว่ามันไม่ใช่
“...เราไม่ควรวางใจคนที่กลัวความโดดเดี่ยว เพราะพวกเขาไม่เคยอยู่คนเดียวจริงๆ พวกเขาใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวช่วยเพื่อข้ามพ้นความว่างเปล่า ไร้จินตนาการ ไร้ผู้ชาย ไร้ผู้หญิง ช่างไม่รู้เลยว่าเราไม่สามารถเติมเต็มความโดดเดี่ยวได้ มันไม่มีก้น ไม่มีประโยชน์จะวิ่งหนี และสำหรับชีวิตคู่ ความโดดเดี่ยวเป็นชู้รักที่บังคับให้เรานอกใจ” ทั้งหมดคือเสียงจากตัวละครที่ชื่อโซเอ นักแสดงประกอบที่เล่นเป็นคนข้างบ้าน คนขายขนมปัง พนักงานเสิร์ฟที่บอบช้ำและเริ่มแก่ เพื่อนหญิงวัยทอง เล่นเป็นยาย และสุดท้ายอาจได้รับบทคนบ้า เธอไม่ได้เข้าใจทันทีว่าตนเองรักเอเลียสขนาดไหน ความรักที่มีต่อเพื่อนเกิดขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว พอรู้ตัว ก็รู้ดีว่าการมีความสัมพันธ์กับเพื่อนจะเป็นเรื่องเสี่ยงที่จะสูญเสียเขาไป มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรสานต่อ แม้เอเลียสจะทำให้เธอรู้สึกดี แต่มันก็ทำให้เธอรู้ว่านอกจากบทตัวรองที่เธอได้รับในภาพยนตร์แล้วเธอก็มีตำแหน่งตัวรองในชีวิตจริงเช่นเดียวกัน เธอเป็นเมียน้อยของใครสักคนที่ไม่อาจตัดใจได้มาสิบสองปีแล้ว จากการพูดคุยระหว่างเธอกับเอเลียส ปัญหาที่เธอเห็นชัดๆ ก็คือ เอเลียสที่เธอรัก--คนที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ต้องมีปัญหา
ความโด่งดังและมีรางวัลการันตีของเอเลียสทำให้เขาได้รับโอกาสดีๆ และสิทธิพิเศษมากมายเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ ทั้งจำนวนเงินที่สามารถเนรมิตรทุกอย่างได้ราวกับพระเจ้า รวมถึงการได้รับงานโปรเจ็กต์ดีๆ ที่จะทำร่วมกับ มาร์เซียล กัลเดอิรา หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ของวงการภาพยนตร์ ชายชราผู้เหยียดหยามความตาย เอเลียสได้รับการต้อนรับที่บ้านของกัลเดอิรากับเฟลอร์--ภรรยาหลายครั้ง เขาไม่บอกใครเรื่องที่ได้รับเชิญ เขาเก็บเงียบไว้เหมือนความลับส่วนตัวที่มีค่ายิ่ง กัลเดอิรากับเฟลอร์เป็นเจ้าบ้านที่มีเสน่ห์ที่สุด แม้เฟลอร์จะพูดไม่ได้เพราะจู่ๆ เส้นเสียงก็หยุดสั่น และแม้จะมีการทดลองรักษาหลายหลายวิธี แต่แพทย์ก็ยังไม่สามารถให้คำอธิบายที่น่าพอใจได้ กัลเดอิราเข้าเรียนภาษามือพร้อมภรรยาสิบสองชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อจะได้ใช้พูดคุยกับเธอ ชีวิตคู่ของพวกเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวของความรัก ความอบอุ่นที่ยากจะอธิบาย เอเลียสซาบซึ้งกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่คราวนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เอเลียสล้มลงกับพื้นโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ปากของเขาแตก แก้วแตกคามือ เท้าของกัลเดอิราขยี้ลงบนหน้าอกแล้วถีบเขากลับไปนอนที่พื้นอีกครั้ง เศษแก้วทิ่มลงในฝ่ามือ แรงกระแทกทำให้เขาตาพร่ามัว มีมือยื่นมาให้จับ มือที่เมื่อครู่นี้อัดกำปั้นใส่ใบหน้าของเขา มือที่ฉุดกระชากลากเขาไปตามทางเดินแล้วปล่อยทิ้งลงบนพื้นที่เปียกชุ่มนอกบ้าน
แน่นอนโปรเจ็กต์ที่ว่าถูกส่งต่อให้วิกตอร์ เพื่อนสนิทที่มีความทะเยอทะยานต่างกัน วิกตอร์มีนิสัยเจ้าชู้แม้จะมีนาตาลีอยู่แล้ว แต่ความเมตตาปรานีและความใจกว้างของเธอเป็นคุณสมบัติที่ช่วยรักษาชีวิตแต่งงานของเธอกับเขาเอาไว้ ความลุ่มหลงที่เธอมีต่อวิกตอร์ทำให้เกิดความวิปริตอันอ่อนหวานแต่แน่วแน่ ความระคายเคืองจากผ้าที่เธอผูกตาตัวเองไว้นั้นหาได้มีความสำคัญแต่อย่างใด แต่เมื่อวิกตอร์หายลับไปกับอากาศยานที่ทะยานสู่ท้องฟ้า นาตาลีรู้ว่าเขาจะต้องนอกใจเธออีกที่โน่นและในทุกที่ที่เขาไป นาตาลียิ้มให้กับความเศร้าที่สะสมอยู่ของตน เธอร้องให้มาเป็นเดือนเป็นปี แล้ววันหนึ่งการที่น้ำตาออกมาซ้ำๆ ไม่มีวันสิ้นสุดก็เปลี่ยนธรรมชาติของความโศกตรม ทำให้เรารู้ว่าความเจ็บปวดไม่ได้เป็นสาเหตุของความเศร้า แต่เป็นความเคยชิน ไม่ว่าเราจะพยายามเค้นน้ำตาและพยายามมีความทุกข์ เราก็ทำไม่ได้เพราะมันไม่มีเหตุผล...สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่ร่างกาย แม้ว่าเรากำลังจะตาย การขาดความรักต่างหากทำให้เราเจ็บปวด เธอมีวิธีแก้แค้นวิกตอร์ หากเอเลียสจะยอมมีสัมพันธ์กับเธอ เสน่ห์ของเธอเย้ายวนและชีวิตก็ไม่ใช่การถ่ายหนัง เราควบคุมทุกอย่างไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือ เธอมีความสุขที่จะได้ทำอย่างนั้นเสียด้วย เอเลียสรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดความคิดเพราะเขาคงทำเรื่องอย่างนั้นกับภรรยาของเพื่อนไม่ได้ เวลาผ่านไป ดูเหมือนนาตาลีจะสงบลงแล้ว เอเลียสส่งเธอกลับบ้าน แต่โลกทั้งโลกของเขา ร่างกายและใบหน้าของเขาร่วงกระจายเป็นเสี่ยงๆ และเพื่ออยู่เหนือทุกสิ่ง ผู้คนปฏิบัติต่อเขาด้วยความรุนแรงที่เขาไม่เข้าใจเลยมาหลายวันแล้ว ตัวเขาสะท้อนภาพของคนที่ห่างไกลจากความยากลำบากในชีวิต คนที่ทุกอย่างง่ายดายและชัดเจน เขาทำให้ผู้คนเชื่อเรื่องพวกนี้ได้สำเร็จมาเป็นเวลายาวนาน นั่นเป็นจุดมุ่งหมายของเขา แต่ชัยชนะมีรสชาติแปร่งปร่า...
เมื่อวิกตอร์รับหน้าที่แทนเอเลียส เอเลียสก็ต้องรับผิดชอบงานที่วิกตอร์ทำค้างไว้เช่นกัน นั่นคือการทำภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของ มาร์โกต์ ลาซารุส นักเขียนสาวที่เชื่อว่าในจักรวาลนี้มีที่สองแห่งที่เธอมั่นใจว่าจะไม่ถูกรบกวนคือ ห้องสมุดและสุสาน ความเงียบของคนตายกับหนังสือไม่ได้มีอะไรน่าละอาย เธอรู้ว่าเธอเป็นที่ยอมรับและรักสิ่งที่อยู่ในสถานที่สองแห่งนี้โดยไม่มีเงื่อนไข และเธอสามารถมอบความไว้วางใจกับคนตายและหนังสือได้ เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างเกี่ยวกับเธอ คือ เธอกลัว “ชีวิต” มากกว่ากลัว “ความตาย” แม้เธอจะมีความพยายามในการฆ่าตัวตายทุกครั้งหลังเรื่องราวความรักแต่ละครั้งจบลง แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะจบชีวิตตัวเอง เธอไม่ได้อยากตาย เธอเพียงอยากฆ่าตัวตายเท่านั้น และสองสิ่งนี้ก็แตกต่างกัน นอกจากนี้มาร์โกต์ ยังเป็นกลัวอาการไข้ที่เกิดจากความรัก เธอชอบนึกว่าตนเองตกหลุมรักตลอดเวลา ทุกครั้งเธอจะมีอาการเฉพาะตัวปรากฏเด่นชัดในช่วงแรกๆ แต่ไม่กี่วันต่อมา ถ้าเธอได้ดื่มน้ำเยอะๆ กินซุป และนอนบนเตียง เธอก็ได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นภาพลวงตา
ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิตตัวละครเท่านั้นและแม้แต่ละชีวิตจะบอบช้ำมาหลายครั้งหลายครา แต่ผู้เขียนก็ขอยืนยันด้วยอีกคนว่า “หนังสือเล่มนี้พูดถึงความรัก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น