วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไดอารี่ คอลัมน์ สับปะรดกวน โดย เล็ก หมีพูห์

8.30 น ผมผละจากฟูกนอน สะบัดผ้าห่มพ้นปลายตีน รู้สึกถึงกระแสความเย็นที่ยังจับอยู่ที่ปลายนิ้วตีน
ทำไมอากาศมันถึงกลับมาเย็นอีกแล้วนะ
ที่จริงรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้ากว่า ๆ แล้ว แต่มันทำใจลุกลำบาก

เช้าวันนี้ ล่วงเข้าวันที่ห้าแล้ว ที่ผมควบคุมอาหาร สูตรพระเทพฯ
ซึ่งโดยภาพรวม มื้อเช้าจะดื่มแต่กาแฟไม่ใส่น้ำตาลบ้าง น้ำผลไม้บ้าง
มื้อกลางวันและมื้อเย็น ไม่ทานไข่ต้ม ก็สลัดผัก บางทีก็สับปะรดชิ้นเดียว

เช้าวันนี้ผมยิ้มได้ เพราะอดทนมาถึงวันที่ห้าแล้ว ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง เพราะว่ากลางวันของวันนี้ได้กินไก่ย่างกับส้มตำ ซึ่งถือว่าหรูเชียวนะ

10.00 เวลาประมาณนี้ ผมมักจะเปิดดูเอเอสทีวี ทางอินเตอร์เน็ต
หลัง ๆ รู้สึกว่าการเสวนาการเมืองในรายการ จะเริ่มวนซ้ำซาก
วันจันทร์ที่ผ่านมา ดูทีนิวส์ ทางช่อง 11 ตอนสามทุ่ม เขาทำรายการวิเคราะห์ข่าวสนุกมาก
และรายการนี้ให้ข่าวสารได้ผล สังเกตจากฝ่ายค้านในสภาเต้นแร้งเต้นกากัน
เข้าทำนองคนชั่วกลัวความจริง และเถียงไม่ได้ว่าเป็นความจริงล้วน ๆ
นึกขำ ที่ สส. ฝ่ายค้านในสภา ไม่มีอะไรจะด่า หาว่ารายการเอียงข้าง สร้างความแตกแยก แล้วก็ พิธีการสาวคู่ หน้าตาขี้เหร่
ปรากฎว่าในรายการ คนเอสเอ็มเอสเข้าไปให้กำลังใจพิธีกรสาวกันตรึม จำได้อันนึง "พิธีกรทั้งสวย มีสมอง และวิเคราะห์ข่าวเยี่ยมยอด"

เวลาผมเห็นการลุกขึ้นด่าสาดเสียเทเสียในสภา อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าเป็นยุคอันธพาลครองเมือง
และรู้สึกอยากจะอ้วก กับคำว่า สส. ผู้ทรงเกียรติ
การถ่ายทอดในสภา น่าจะขึ้นเตือนว่าผู้ปกครองควรแนะนำ

11.00 คุณต้อย จากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย คุยกับผมผ่านเอ็มเอสเอ็น
ว่าให้ผมและทีมงานทำรายการประกันชีวิตไว้ด้วย
เรื่องมีอยู่ว่า สศร (ชื่อย่อของสำนักงาน) เขาจ้างเราลงไปอบรมทำหนังสั้น ให้เยาวชนที่ปัตตานี
เป็นจังหวัดที่เขาให้เลือก ระหว่าง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
เหตุที่เลือกปัตตานี ก็เนื่องจากว่าน้ำหวานบอกว่าไม่น่ากลัวเลย

สศร กลายเป็นนายจ้างประจำของเราไปซะแล้ว ในเรื่องจ้างเราไปเป็นวิทยากรอบรมหนังสั้น
จะว่าไป ก็เป็นงานที่สนุก แต่เหนื่อยโคตร
ครั้งนี้เขาเพิ่มการอบรมให้เราเป็น 12 วัน
ซึ่งทำให้เรายืดกระบวนการออกไปได้อีกหน่อย ที่ทำให้ไม่เร่งมาก

สัมพันธภาพของผมกับ สศร ในระยะเริ่มต้นไม่ค่อยสวยนัก
แต่
ต่อ ๆ มากลับงอกงามเอา ๆ
ก็ สศร อีกนั่นแหละ เร่งให้ผมส่งพล็อตหนังเข้าไปขอทุนสร้าง
ซึ่งทำให้ผมคิดสมองแตกอยู่ทุกวันนี้

แต่ผมก็คิดชัดขึ้นมาเป็นลำดับแล้วล่ะ ว่าพล็อตเรื่องเกี่ยวกับอดีตกองพล 93
มันเป็นเรื่องเกียวกับคุณยายที่อยู่บนดอยแม่สะลอง คุณตา สามีของแกตายไปตั้งแต่สมรภูมิดอยผาหม่น ตั้งแต่สี่สิบปีก่อน
คืนหนึ่งคุณยาย ฝันถึงคุณตามากวักมือเรียก ทำให้แกเชื่อว่าเวลาแกเหลือน้อยแล้ว
แกเลยมีความคิดว่า แกจะไปเคารพศพของคุณตา ที่สุสาน บนดอยผาหม่น ซึ่งห่างออกไปจากดอยของแกเป็นร้อยกิโล
ทั้งที่ก่อนนั้น แกจะไหว้อยู่กับบ้าน บนดอยแม่สะลอง เพราะการเดินทางไป ทั้งไกลและไม่มีบัตรประชาชน
แต่แกก็จะไป เดือดร้อนถึงลูกสาวคนเดียวของแก จัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามประสงค์ของแม่
แม่ก็เลยตามหลานมาให้ช่วยดูแลคุณยายในภารกิจนี้

เหตุการณ์ที่มีที่มาที่ไปแบบนี้ นำไปสู่เรื่องเล่าความกล้าหาญของกองพล 93

แอ่น แอ๊น เล่าย่อ ๆ ประมาณนี้ ตอนนี้กำลังประดับประดารายละเอียดอยู่

13.00 รู้สึกว่าอยู่กับความคิดมาก ๆ เลย
ที่ผ่านมาในรอบหนึ่งเดือน คิดแต่จะทำนั่นทำนี่ แต่ยังทำน้อยเกินไป
บางทีนั่งเล่นคอม เล่นจริง ๆ คือเอาเมาส์ กริ๊ก ๆๆๆ ไปมา
แบบที่ค่อนข้างจะเลื่อนลอย และไม่มีเป้าประสงค์ที่แน่นอน

ต้นฉบับจะต้องส่งให้อั๋นแล้ว แต่ยังทำใจนั่งลงเขียนลำบากอยู่เลย

หมอดูซึ่งคนคอนเฟิร์มว่าแม่น เคยดูเมื่อนานมาแล้วว่าผมจะดัง
ผมมานึก ๆ ดู มันไกลความจริงออกไปเรื่อย ๆ
พิจารณาถ้วนถี่ ผมไม่มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนงานยาก ๆ ได้เลย
ผมรู้สึกว่ากลัวไปหมด กลัวทำนั่นไม่ได้ นี่ไม่ได้
ความกลัวบั่นทอนความกล้าที่จะทำ จนไม่ได้ลงมือทำจริง ๆ

ในเดือนนี้ ผมเลือกดูหนังของจางอวี้โหมวเป็นการจุดประกายไฟ
ชื่นชมที่เค้าทำหนังลงทุนน้อย ๆ ให้น่าดู และกลายเป็นหนังดีมาก ๆ ได้
ผมพยายามหาแรงบันดาลใจจากจางอวี้โหมว
ที่ต่ำเตี้ยมาจากดิน จนเฉิดฉายเป็นดาวประกายพรึกในวันนี้
เขามาจากดินจริง ๆ คุณตาของเขาเป็นนายทหารในสังกัดพรรคก๊กมินตั๋ง ส่วนพี่ชายของเขาเป็นทหารในกองพลนี้เช่นกัน
แต่เพราะทัพพ่ายแพ้ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ครอบครัวเลยต้องระเหเร่ร่อนไปไต้หวัน
ชีวิตตกระกำลำบาก ขนาดจางอวี้โหมวขายเลือด เพื่อเก็บเงินไปซื้อกล้อง

ผมมานั่งนึกสนุก ๆ ว่าถ้าครอบครัวจางอวี้โหมวเลือกที่จะลงมาทางใต้เรื่อย ๆ
แบบเดียวกับกองทัพที่ 26 ของก็กมินตั๋งที่เลือกลงมาใต้ จนเข้าเขตประเทศไทย และปักหลักกันแถวดอยแม่สะลอง
จนกลายเป็นกองพล 93 ในวันนี้
ป่านนี้ จางอวี้โหมวคงโตแถวดอยแม่สะลองนี่เอง
แต่จะโตมาเป็นผู้กำกับชื่อเสียงระบือนามเหมิอนทุกวันนี้หรือเปล่า ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่
เพราะดูจากปัจจัยแวดล้อมส่งเสริม หากต้องเป็นพลเมืองไทยไม่เต็มขั้นของดอยแม่สะลองแล้ว
จางอวี้โหมวอาจจะเข็นตัวเองได้แค่คนจัดอีเวนท์ให้กับเทศบาลนครเชียงรายก็ได้

แล้วผมก็ต้องคิดขมองแตกต่อไป หลังจากดูหนังจุดไฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า

17.00 "น้องโบว์" รถฟีโน่คันเขียวพาผมไปบนถนนที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี ยามพระอาทิตย์ทอแสงเย็นตา
สมองปลอดโปร่งเมื่อสายลมพัดพากลิ่นของท้องทุ่ง โชยเข้าจมูก
ทุกห้าโมงเย็นของวันอังคาร พุธและพฤหัส ผมมีภารกิจทางใจกับน้องเยาวชนหญิงกลุ่มนึง
ที่จะไปสอนเธอเหล่านั้นทำหนังสั้นให้เก่งขึ้น
การไปสอนพิเศษให้ครั้งนี้ เป็นการทำเพราะอยากทำ
ไม่มีผลประโยชน์อะไรจากการนี้

บางครั้งคนเราก็แค่แสวงหาความหมายบางอย่างให้กับชีวิต
จากเช้ายันบ่ายแก่ ๆ และลากมาเย็น
ชีวิตผมดูเหมือนจะเลื่อนลอยและจับต้องไม่ค่อยได้
แต่กิจกรรมเล็ก ๆ ที่ผมเลือกทำ ช่วงสั้น ๆ สองชั่วโมง
กลับรู้สึกว่ามีความหมายมากกว่าเวลาที่ใช้มาแล้วทั้งวัน

20.00 ผมกำลังเล่นโยคะ ท่าสุริยนมัสการและท่าต่อเนื่องอีกชุดใหญ่
พยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออก
เป็นการเติมพลังใจและพลังกาย
ทั้งหมดนี้ ผมเขียนเพื่อให้ดูดี
แท้จริงแล้ว ผมไม่อยากอ้วนเผละต่างหากล่ะ

22.00 ถึงเวลาทำฟาร์ม (ในเฟซบุ๊ค)
ตั้งแต่ขยายฟาร์ม เงินสะสมของผมหล่นวูบเหลือแค่ 18 บาท
แต่การลงทุนก็คุ้มค่า เพราะพอลงแปลงที เก็บเกี่ยวได้ทีละเหยียบครึ่งแสน
เพียงแค่สองสามวัน ตอนนี้ผมเก็บเงินได้แสนห้าแล้วนะ

....ค่อยรู้สึกว่าชีวิตมั่นคงขึ้นมาหน่อยละ

4 ความคิดเห็น:

  1. อีกอันๆ
    "คุณยาย ฝันถึงคุณตามากวักมือเรียก ทำให้แกเชื่อว่าเวลาแกเหลือน้อยแล้ว"
    ชอบเรื่องราวอันนี้ค่ะ

    ตอบลบ
  2. เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ
    เหมือนได้นั่งคุยกับพี่เลยแม้ไม่ได้คุยกันแบบตัวเป็น ๆ
    เอาใจช่วยเรื่องหนังนะคะพี่
    หนูว่าจริง ๆ พี่เล็กก็เหมือนจางอี้โหมวนะคะ
    แสงของพี่ค่อย ๆ เจิดจรัสทีละน้อย ๆ แล้วและพี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน :)
    แล้วก็ เห็นทีหนูจะต้องเล่นโยคะมั่งแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เผละเป็นชั้น ๆ เลย T_T

    ตอบลบ