8.30 น ผมผละจากฟูกนอน สะบัดผ้าห่มพ้นปลายตีน รู้สึกถึงกระแสความเย็นที่ยังจับอยู่ที่ปลายนิ้วตีน |
ทำไมอากาศมันถึงกลับมาเย็นอีกแล้วนะ |
ที่จริงรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้ากว่า ๆ แล้ว แต่มันทำใจลุกลำบาก |
เช้าวันนี้ ล่วงเข้าวันที่ห้าแล้ว ที่ผมควบคุมอาหาร สูตรพระเทพฯ |
ซึ่งโดยภาพรวม มื้อเช้าจะดื่มแต่กาแฟไม่ใส่น้ำตาลบ้าง น้ำผลไม้บ้าง |
มื้อกลางวันและมื้อเย็น ไม่ทานไข่ต้ม ก็สลัดผัก บางทีก็สับปะรดชิ้นเดียว |
เช้าวันนี้ผมยิ้มได้ เพราะอดทนมาถึงวันที่ห้าแล้ว ประการหนึ่ง |
อีกประการหนึ่ง เพราะว่ากลางวันของวันนี้ได้กินไก่ย่างกับส้มตำ ซึ่งถือว่าหรูเชียวนะ |
10.00 เวลาประมาณนี้ ผมมักจะเปิดดูเอเอสทีวี ทางอินเตอร์เน็ต |
หลัง ๆ รู้สึกว่าการเสวนาการเมืองในรายการ จะเริ่มวนซ้ำซาก |
วันจันทร์ที่ผ่านมา ดูทีนิวส์ ทางช่อง 11 ตอนสามทุ่ม เขาทำรายการวิเคราะห์ข่าวสนุกมาก |
และรายการนี้ให้ข่าวสารได้ผล สังเกตจากฝ่ายค้านในสภาเต้นแร้งเต้นกากัน |
เข้าทำนองคนชั่วกลัวความจริง และเถียงไม่ได้ว่าเป็นความจริงล้วน ๆ |
นึกขำ ที่ สส. ฝ่ายค้านในสภา ไม่มีอะไรจะด่า หาว่ารายการเอียงข้าง สร้างความแตกแยก แล้วก็ พิธีการสาวคู่ หน้าตาขี้เหร่ |
ปรากฎว่าในรายการ คนเอสเอ็มเอสเข้าไปให้กำลังใจพิธีกรสาวกันตรึม จำได้อันนึง "พิธีกรทั้งสวย มีสมอง และวิเคราะห์ข่าวเยี่ยมยอด" |
เวลาผมเห็นการลุกขึ้นด่าสาดเสียเทเสียในสภา อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าเป็นยุคอันธพาลครองเมือง |
และรู้สึกอยากจะอ้วก กับคำว่า สส. ผู้ทรงเกียรติ |
การถ่ายทอดในสภา น่าจะขึ้นเตือนว่าผู้ปกครองควรแนะนำ |
11.00 คุณต้อย จากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย คุยกับผมผ่านเอ็มเอสเอ็น |
ว่าให้ผมและทีมงานทำรายการประกันชีวิตไว้ด้วย |
เรื่องมีอยู่ว่า สศร (ชื่อย่อของสำนักงาน) เขาจ้างเราลงไปอบรมทำหนังสั้น ให้เยาวชนที่ปัตตานี |
เป็นจังหวัดที่เขาให้เลือก ระหว่าง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส |
เหตุที่เลือกปัตตานี ก็เนื่องจากว่าน้ำหวานบอกว่าไม่น่ากลัวเลย |
สศร กลายเป็นนายจ้างประจำของเราไปซะแล้ว ในเรื่องจ้างเราไปเป็นวิทยากรอบรมหนังสั้น |
จะว่าไป ก็เป็นงานที่สนุก แต่เหนื่อยโคตร |
ครั้งนี้เขาเพิ่มการอบรมให้เราเป็น 12 วัน |
ซึ่งทำให้เรายืดกระบวนการออกไปได้อีกหน่อย ที่ทำให้ไม่เร่งมาก |
สัมพันธภาพของผมกับ สศร ในระยะเริ่มต้นไม่ค่อยสวยนัก |
แต่ |
ต่อ ๆ มากลับงอกงามเอา ๆ |
ก็ สศร อีกนั่นแหละ เร่งให้ผมส่งพล็อตหนังเข้าไปขอทุนสร้าง |
ซึ่งทำให้ผมคิดสมองแตกอยู่ทุกวันนี้ |
แต่ผมก็คิดชัดขึ้นมาเป็นลำดับแล้วล่ะ ว่าพล็อตเรื่องเกี่ยวกับอดีตกองพล 93 |
มันเป็นเรื่องเกียวกับคุณยายที่อยู่บนดอยแม่สะลอง คุณตา สามีของแกตายไปตั้งแต่สมรภูมิดอยผาหม่น ตั้งแต่สี่สิบปีก่อน |
คืนหนึ่งคุณยาย ฝันถึงคุณตามากวักมือเรียก ทำให้แกเชื่อว่าเวลาแกเหลือน้อยแล้ว |
แกเลยมีความคิดว่า แกจะไปเคารพศพของคุณตา ที่สุสาน บนดอยผาหม่น ซึ่งห่างออกไปจากดอยของแกเป็นร้อยกิโล |
ทั้งที่ก่อนนั้น แกจะไหว้อยู่กับบ้าน บนดอยแม่สะลอง เพราะการเดินทางไป ทั้งไกลและไม่มีบัตรประชาชน |
แต่แกก็จะไป เดือดร้อนถึงลูกสาวคนเดียวของแก จัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามประสงค์ของแม่ |
แม่ก็เลยตามหลานมาให้ช่วยดูแลคุณยายในภารกิจนี้ |
เหตุการณ์ที่มีที่มาที่ไปแบบนี้ นำไปสู่เรื่องเล่าความกล้าหาญของกองพล 93 |
แอ่น แอ๊น เล่าย่อ ๆ ประมาณนี้ ตอนนี้กำลังประดับประดารายละเอียดอยู่ |
13.00 รู้สึกว่าอยู่กับความคิดมาก ๆ เลย |
ที่ผ่านมาในรอบหนึ่งเดือน คิดแต่จะทำนั่นทำนี่ แต่ยังทำน้อยเกินไป |
บางทีนั่งเล่นคอม เล่นจริง ๆ คือเอาเมาส์ กริ๊ก ๆๆๆ ไปมา |
แบบที่ค่อนข้างจะเลื่อนลอย และไม่มีเป้าประสงค์ที่แน่นอน |
ต้นฉบับจะต้องส่งให้อั๋นแล้ว แต่ยังทำใจนั่งลงเขียนลำบากอยู่เลย |
หมอดูซึ่งคนคอนเฟิร์มว่าแม่น เคยดูเมื่อนานมาแล้วว่าผมจะดัง |
ผมมานึก ๆ ดู มันไกลความจริงออกไปเรื่อย ๆ |
พิจารณาถ้วนถี่ ผมไม่มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนงานยาก ๆ ได้เลย |
ผมรู้สึกว่ากลัวไปหมด กลัวทำนั่นไม่ได้ นี่ไม่ได้ |
ความกลัวบั่นทอนความกล้าที่จะทำ จนไม่ได้ลงมือทำจริง ๆ |
ในเดือนนี้ ผมเลือกดูหนังของจางอวี้โหมวเป็นการจุดประกายไฟ |
ชื่นชมที่เค้าทำหนังลงทุนน้อย ๆ ให้น่าดู และกลายเป็นหนังดีมาก ๆ ได้ |
ผมพยายามหาแรงบันดาลใจจากจางอวี้โหมว |
ที่ต่ำเตี้ยมาจากดิน จนเฉิดฉายเป็นดาวประกายพรึกในวันนี้ |
เขามาจากดินจริง ๆ คุณตาของเขาเป็นนายทหารในสังกัดพรรคก๊กมินตั๋ง ส่วนพี่ชายของเขาเป็นทหารในกองพลนี้เช่นกัน |
แต่เพราะทัพพ่ายแพ้ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ครอบครัวเลยต้องระเหเร่ร่อนไปไต้หวัน |
ชีวิตตกระกำลำบาก ขนาดจางอวี้โหมวขายเลือด เพื่อเก็บเงินไปซื้อกล้อง |
ผมมานั่งนึกสนุก ๆ ว่าถ้าครอบครัวจางอวี้โหมวเลือกที่จะลงมาทางใต้เรื่อย ๆ |
แบบเดียวกับกองทัพที่ 26 ของก็กมินตั๋งที่เลือกลงมาใต้ จนเข้าเขตประเทศไทย และปักหลักกันแถวดอยแม่สะลอง |
จนกลายเป็นกองพล 93 ในวันนี้ |
ป่านนี้ จางอวี้โหมวคงโตแถวดอยแม่สะลองนี่เอง |
แต่จะโตมาเป็นผู้กำกับชื่อเสียงระบือนามเหมิอนทุกวันนี้หรือเปล่า ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่ |
เพราะดูจากปัจจัยแวดล้อมส่งเสริม หากต้องเป็นพลเมืองไทยไม่เต็มขั้นของดอยแม่สะลองแล้ว |
จางอวี้โหมวอาจจะเข็นตัวเองได้แค่คนจัดอีเวนท์ให้กับเทศบาลนครเชียงรายก็ได้ |
แล้วผมก็ต้องคิดขมองแตกต่อไป หลังจากดูหนังจุดไฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า |
17.00 "น้องโบว์" รถฟีโน่คันเขียวพาผมไปบนถนนที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี ยามพระอาทิตย์ทอแสงเย็นตา |
สมองปลอดโปร่งเมื่อสายลมพัดพากลิ่นของท้องทุ่ง โชยเข้าจมูก |
ทุกห้าโมงเย็นของวันอังคาร พุธและพฤหัส ผมมีภารกิจทางใจกับน้องเยาวชนหญิงกลุ่มนึง |
ที่จะไปสอนเธอเหล่านั้นทำหนังสั้นให้เก่งขึ้น |
การไปสอนพิเศษให้ครั้งนี้ เป็นการทำเพราะอยากทำ |
ไม่มีผลประโยชน์อะไรจากการนี้ |
บางครั้งคนเราก็แค่แสวงหาความหมายบางอย่างให้กับชีวิต |
จากเช้ายันบ่ายแก่ ๆ และลากมาเย็น |
ชีวิตผมดูเหมือนจะเลื่อนลอยและจับต้องไม่ค่อยได้ |
แต่กิจกรรมเล็ก ๆ ที่ผมเลือกทำ ช่วงสั้น ๆ สองชั่วโมง |
กลับรู้สึกว่ามีความหมายมากกว่าเวลาที่ใช้มาแล้วทั้งวัน |
20.00 ผมกำลังเล่นโยคะ ท่าสุริยนมัสการและท่าต่อเนื่องอีกชุดใหญ่ |
พยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออก |
เป็นการเติมพลังใจและพลังกาย |
ทั้งหมดนี้ ผมเขียนเพื่อให้ดูดี |
แท้จริงแล้ว ผมไม่อยากอ้วนเผละต่างหากล่ะ |
22.00 ถึงเวลาทำฟาร์ม (ในเฟซบุ๊ค) |
ตั้งแต่ขยายฟาร์ม เงินสะสมของผมหล่นวูบเหลือแค่ 18 บาท |
แต่การลงทุนก็คุ้มค่า เพราะพอลงแปลงที เก็บเกี่ยวได้ทีละเหยียบครึ่งแสน |
เพียงแค่สองสามวัน ตอนนี้ผมเก็บเงินได้แสนห้าแล้วนะ |
....ค่อยรู้สึกว่าชีวิตมั่นคงขึ้นมาหน่อยละ |
โครงการวารสารแสงเล็ก สำหรับชุมชนเบิกบาน...ที่ชื่นชมการมีชีวิต และแบ่งปัน...ความฝัน แรงบันดาลใจ
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ไดอารี่ คอลัมน์ สับปะรดกวน โดย เล็ก หมีพูห์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขำ ชอบค่าาาา
ตอบลบจบฮามากก ฮ่าๆๆ
ตอบลบอีกอันๆ
ตอบลบ"คุณยาย ฝันถึงคุณตามากวักมือเรียก ทำให้แกเชื่อว่าเวลาแกเหลือน้อยแล้ว"
ชอบเรื่องราวอันนี้ค่ะ
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ
ตอบลบเหมือนได้นั่งคุยกับพี่เลยแม้ไม่ได้คุยกันแบบตัวเป็น ๆ
เอาใจช่วยเรื่องหนังนะคะพี่
หนูว่าจริง ๆ พี่เล็กก็เหมือนจางอี้โหมวนะคะ
แสงของพี่ค่อย ๆ เจิดจรัสทีละน้อย ๆ แล้วและพี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน :)
แล้วก็ เห็นทีหนูจะต้องเล่นโยคะมั่งแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เผละเป็นชั้น ๆ เลย T_T