วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

แสงเล็กรวมกัน ตอน โตเกียวโซนาตะ

Be Phumirat นั่งนึกและเรียบเรียงเหตุการณ์

 

วันพฤหัสบดี ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ พวกเรากลุ่มแสงเล็กมีนัดดูหนังกันเบาๆ ด้วยหนังที่มองและตีความได้ไม่เบาเลย นั่นคือ “โตเกียวโซนาตะ” สมาชิกทยอยมาถึงที่ห้องสมุดเล็ก อังกฤษแกลเลอรี่ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็น จนเมื่อจำนวนสมาชิกเกินเลขสิบไปแล้ว เราจึงเริ่มดูหนังกัน

หนังใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เมื่อแรกเริ่มฉายยังมีเสียงจ๊อกแจ๊ก หัวเราะคิกคักอยู่บ้าง แต่ตั้งแต่กลางเรื่องไปจนถึงท้ายเรื่อง ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนจับจ้องสายตาไปบนจอขาวที่ฉายภาพด้วยโปรเจ็คเตอร์ การถ่ายทอดเรื่องราวหลายบทตอนของหนังและความอึดอัดขัดข้องในความรู้สึก ทำให้เราถอนหายใจเฮือกยาว บางคนน้ำตาซึม สมาชิกรุ่นใหญ่ถอยออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น

เมื่อหนังจบเราพูดคุยกันถึงความรู้สึก ความคิดและสิ่งที่แต่ละคนจับต้องได้จากหนังเรื่องนี้ น้องๆ จากไร่แม่ฟ้าหลวงบอกว่า ชอบ ดูแล้วรู้สึกตาม พี่อั๋นบอกว่า หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้มีการเล่าเรื่องต่างจากหนังที่ฉายในโรงทั่วไป หากเราเปิดใจติดตาม แม้จะเชื่องช้าน่าเบื่อไปบ้าง แต่เราจะได้รับสารบางอย่าง เกิดความรู้สึกบางอย่าง อย่างที่ผู้กำกับตั้งใจเรียบเรียงมา มันมีเสน่ห์ และจบได้สวยมาก อาใหญ่บอกว่า อาใหญ่ต้องลุกออกมาสูดหายใจครั้งหนึ่งระหว่างดูหนัง เพราะเรื่องราวในหนังทำให้อาใหญ่เห็นหลายภาพที่ทำให้รู้สึกบีบคั้น อาใหญ่เป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ผ่านและพบเจอมาหลายเรื่องราวในชีวิต ได้รับรู้ ได้รู้สึก และมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกันทำให้รู้สึกตามได้มาก อาใหญ่ยังบอกอีกว่า การดีดเปียโนของตัวละครในฉากสุดท้าย เป็นการเลือกเพลงและแสดงอารมณ์ของหนังได้ชัดเจนและลึกซึ้งมาก บี จุ๋ม และพี่โตดูเรื่องนี้เป็นครั้งที่สอง บีบอกว่าตอนดูครั้งแรกก็อินมาก รู้สึกตาม รู้สึกถึงความว้าเหว่ที่เกิดขึ้นจากการไม่สื่อสาร นึกถึงครอบครัวและคนใกล้ชิด พอได้ดูครั้งที่สองก็จับรายละเอียดบางอย่างเพิ่มขึ้นอีก เช่น การจัดวางคอมโพสภาพที่สวยงาม การเล่าเรื่องด้วยภาพ และการจัดแสงที่สื่อถึงความรู้สึกได้ดี เก๋และเอกเพิ่งดูเป็นครั้งแรก เก๋บอกว่า ที่จริง การยอมรับความจริงและการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการเก็บงำความลับ พ่อตกงานก็ไม่เห็นจะเป็นไรหากจะบอกครอบครัวไปตามตรง พวกเราหลายคนเห็นด้วยเพราะการยอมรับความจริงและการสื่อสารตรง มันลดปัญหาความไม่เข้าใจได้จริงๆ แม้ว่าในสังคมคนญี่ปุ่น พ่อจะกลัวเสีย  “อำนาจการปกครอง” เหมือนอย่างในหนังเรื่องนี้ก็ตาม พี่ขวัญบอกว่า ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกถึงครอบครัวทั่วไปในสังคม ที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือตอนจบ ที่จบได้สวยงามหลังจากที่คืนก่อนหน้า ทุกคนในครอบครัวได้ผ่านเหตุการณ์แทบเป็นแทบตาย สุดท้ายทุกคนก็กลับมาอยู่ในที่แห่งเดียวกันพร้อมหน้าและเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เป็นครั้งแรกของเน็ตที่ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมกับกลุ่มแสงเล็ก (แต่เป็นสมาชิกมานานแล้วนะ) เน็ตเดินทางมาจากอำเภอเทิง มาดูหนังด้วยกัน เน็ตก็ชอบหนังเรื่องนี้ แต่เน็ตพูดน้อย และยิ้มเป็นส่วนใหญ่ (:

หลังจากเรื่องราวของหนัง พวกเราก็คุยกันว่า กลุ่มแสงเล็กจะเป็นอย่างไรต่อ สมาชิกเสนอว่า เราน่าจะจัดกิจกรรมให้เราได้มาพบ เล่น แลกเปลี่ยน และแบ่งปัน สลับกันไปตามที่ทางของสมาชิกแต่ละคน หรือที่ไหนก็ได้ที่สะดวกและเหมาะสม พี่ขวัญบอกว่า พวกเราสามารถจัดมีตติ้งกันที่ ร้านห่ม (ร้านนมตรงแยกสามัคคี) ได้ เพราะที่นั่น มีกลุ่มเพื่อนฝูง คนรู้จักกัน ที่จะมาทำกิจกรรมร่วมกันได้และสถานที่ก็ไปมาสะดวกเพราะอยู่กลางเมือง พวกเราช่วยกันเสนอกิจกรรมต่างๆ ที่พวกเราสนใจ และคิดว่าจะเอามาแลกเปลี่ยนสอนและเล่นกันได้ นั่นคือ

-          ถักสร้อยข้อมือและข้อเท้า

-          ถักกระเป๋า

-          พับกระดาษโอริงามิ

-          จัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น (ชื่อเรียกอะไรนานะๆ ซักอย่าง)

-          ทำการ์ดป๊อบอัพ

-          ฟังดนตรีคลาสสิคประเภทต่างๆ

-          เล่นดนตรีด้วยกันตามความถนัด

-          เย็บสมุดทำมือ

-          ไปไนท์ซาฟารี เชียงใหม่

-          เปิดใจพูดคุยอย่างเปิดเผยและใกล้ชิดต่อกัน

-          ฯลฯ

เมื่อเห็นว่าเรามีกิจกรรมมาแลกเปลี่ยนกันเยอะเลย ก็ให้ความรู้สึกยินดี แล้วพวกเราก็ตัดสินใจว่า มีตติ้งคราวหน้า เราจะไปกันที่บ้านของอาใหญ่ ไปเล่นดนตรีกันตามถนัด แถมมีปาร์ตี้ข้าวเหนียวด้วย ใครจะพกอะไรไปแบ่งกันกินก็ได้ไม่มีปัญหา เรียกว่าไปทานข้าวเย็น พบปะพูดคุยกันสนุกๆ มากกว่า ในวันพฤหัสบดี ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (แผนที่บ้านอาใหญ่จะตามมาทีหลัง)

นอกจากนี้ บีและจุ๋ม ยังได้ชวนสมาชิกแสงเล็กไปร่วมกิจกรรมอ่านหนังสืออัดเสียงส่งให้น้องที่มองไม่เห็น ในวันเสาร์และอาทิตย์นี้ (ตรงกับวันที่ ๓๐ เมษายน และ ๑ พฤษภาคม) ที่ห้องประชุม ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดเชียงราย (ตรงเกาะลอย หลังห้องสมุดประชาชน) เพื่อจะส่งไปให้โรงเรียนสอนคนตาบอดในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง สุราษฎรธานี และชลบุรี ซึ่งมีเด็กตาบอดรวมกว่า 300 คน กิจกรรมนี้ยินดีรับเสียงจากทุกคน

ระหว่างที่พวกเรานึกหากิจกรรมมาแชร์กันอยู่นั้น เรื่องของ “หมีขั้วโลก” ก็ผุดขึ้นมา พี่อั๋นให้ข้อมูลว่า ตอนนี้ โครงการสร้างโดมหิมะเทียมเพื่อรอรับหมีขั้วโลกสองตัวได้ก่อร่างขึ้นแล้ว ใช้งบประมาณกว่า 70 ล้านบาท เพื่อที่เราจะได้มีหมี (อีกชนิด) มาเป็นขวัญใจ มาเป็นที่รักของเด็กๆ และประชาชน แลกกับการลงทุนอันมหาศาลในการก่อสร้าง ทั้งนี้จำนวนเงินที่ว่ายังไม่รวมการบำรุงรักษา และผลร้ายจากมลพิษ (สาร CFC ที่ถูกปล่อยจากเครื่องทำความเย็น) ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น จากการศึกษาแบบยอมอ่านเท็กซ์ภาษาอังกฤษจนตาลายของพี่อั๋น ทำให้พวกเรารู้ว่า แม้แต่ในประเทศอื่นๆ ที่มีหมีขั้วโลกอยู่ในสวนสัตว์ เขาก็ยังพยายามลดค่าใช้จ่ายการรักษา “ที่อยู่เทียม” และพร้อมที่จะยกเลิกการกักขังหมีทันทีที่ทำได้ เพราะมันช่างสูญเสียงบประมาณมากมายเหลือเกิน หมีขั้วโลกที่อยู่กับพวกเขาก็ไม่ต่างจากหมีขี้เรื้อน เพราะดูแลหมีได้ดีที่สุดแค่นั้น (แล้วก็อ้างว่าที่หมีไม่ขนฟูสีขาวตัวใหญ่เพราะเหตุจากการทำวิจัย) แต่พวกเราชาวไทยก็ยังจะเอาหมีมาขังไว้ดูเล่นเป็นสมบัติ (หรืออาจจะอ้างว่าเป็นการศึกษา) ใครก็ตามที่สนับสนุนการสร้างโดมหมีแล้วเอาหมีมาอยู่ที่นี่นั้นช่างเห็นแก่ตัว จับหมีมาอยู่ในโดมที่สร้างไว้ ปล่อยให้มันเดินวนไปวนมาอย่างน่ารัก (ซึ่งที่จริงการเดินวนของสัตว์หมายถึงมันกำลังเครียด!) ซึ่งการทำแบบนั้นเป็นการทำลายที่อยู่จริงของมันโดยการสร้างสารพิษที่ทำให้โลกร้อนขึ้นๆ มนุษย์เหล่านั้นช่างไม่รู้จักจินตนาการว่าถ้าตนเองซึ่งเคยวิ่งเล่นทำมาหากินอยู่ในพื้นที่ 500 ตารางกิโลเมตร อยู่ๆ ถูกจับให้มาเดินวนไปวนมาอยู่ในพื้นที่ 100 ตารางเมตร จะรู้สึกยังไง ช่างคิดน้อย รู้สึกน้อย นกก็จะจับขัง หมีก็จะจับขัง เฮ้อ พวกเราได้ข้อมูลเรื่องหมีขั้วโลกหลายประเด็นจากพี่อั๋น และขณะนั้นพวกเราบางคนก็นิ่งคิดว่าจะทำยังไงดี จะทำอะไรได้ ต่อต้าน? อืมม...

พวกเราแยกย้ายกันเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา (ขณะนั้นสามทุ่มกว่า) อาใหญ่เป็นคนไปรับน้องๆ จากไร่แม่ฟ้าหลวงและพาไปส่ง ส่วนคนอื่นๆ ที่มีรถมาเองก็โบกมือแยกย้ายกันหน้าร้าน เราหวังว่าจะเจอกันอีกเร็วๆ นี้ บางทีอาจจะแค่นัดกินข้าวกัน ไม่ต้องมากเรื่องมากราวอะไร และหวังว่ามีตติ้งคราวหน้า สมาชิกกลุ่มแสงเล็กจะมารวมกันอีกอย่างบานชื่นรื่นเริงใจ :D ส่วนสมาชิกที่ยังไม่เคยมาเจอกันตัวเป็นๆ ได้เวลาเปิดตัวแล้วนะคะ!

ปล. ที่จริงในการมีตติ้งคราวนี้มีหนังสืมเล่มนึงอยากมาเก็บภาพและเรื่องราวกิจกรรมของพวกเรากลุ่มแสงเล็ก แต่เพราะตอนนี้พวกเรายังดูไม่เป็นกลุ่มก้อน เป็นปึกแผ่นและมีแก่นสารเท่าที่ควร เราจึงปฏิเสธหนังสือเจ๋งๆ เล่มนั้นไป แต่เราจะเชิญเค้ามาอีกครั้งแน่ๆ เมื่อเห็นว่ากลุ่มแสงเล็ก เข้าที่เข้าทางมากขึ้น นะฮ้าว์ฟ :D

 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น