ปิติภักดี 82 ปี ไม่มีวันคลาย
เรื่องเล่าจากสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชภารกิจเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนสหรัฐอเมริกาเพื่อเจริญพระราชไมตรี และมีหมายกำหนดการพระราชทานสัมภาษณ์นักข่าว ครั้งนั้น นักข่าวหนุมคนหนึ่งได้ทูลถามว่า
“นี่เป็นการเสด็จฯ เยือนอเมริกาครั้งแรก.... ทรงรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ก็ตื่นเต้น ที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เพราะข้าพเจ้าเกิดที่นี่ .. เมืองบอสตัน”
หนังสือ ชีวิตชั้นๆ : หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
เรื่องเล่าจากชายหาดหัวหิน
ประมาณ พ.ศ. 2508 – 2510 หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ได้แล่นเรือใบลำน้อยๆ ชื่อนางลม ไปหัวหิน หลังจากรอนแรมไปหลายคืน เรือก็ถึงหัวหินตอนเช้าตรู่ ขณะนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเรือเร็วผ่านมา หม่อมเจ้าภีศเดช และลูกเรือจึงทรงมีโอกาสกราบพระบาทใกล้ๆ ทั้งที่อยู่ในสภาพไม่สมควรเข้าเฝ้าอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้โกนหนวดมา 4 วันแล้ว แต่ทรงจำได้ติดตาว่าทั้งสองพระองค์ทรงยิ้มให้
ต่อมา ท่านได้ทรงต่อเรือใบชื่อ ลูกลม และสั่งใบเรือสีแดงมาจากอังกฤษเพื่อฉลองทำขวัญแม่ยานาง เรือใบแดงนี้ หม่อมเจ้าภีศเดชได้ทรงใช้แล่นใบตามเสด็จเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกรรเชียงเรือที่หน้าทะเลพระตำหนักในเวลาเช้า ทรงเล่าว่า ความจริงพยายามแข่ง แซงเรือพระที่นั่ง แต่เมื่อลมฮวบมาจะแซงสำเร็จ ลมกลับเบาลงเสียเฉยๆ จึงไม่สำเร็จแม้แต่คราวหนึ่ง ภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ท่านภีมายั่วให้เล่น”
หนังสือ ชีวิตชั้นๆ : หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
เรื่องเล่าจากสโมสรหมวดเรือใบหลวง
สโมสรหมวดเรือใบหลวง มีเรือใบหลายลำที่ได้รับพระราชทานชื่อ
* กรี๊ด Grease ผู้เล่นเป็นสาวเจ้าอารมณ์
* หมาด Mad เจ้าของเป็นทหาร แล้วย้ายไปเป็นตำรวจ ทรงเห็นว่า เปียกๆ แห้ง
* ปลาดุก Catfish เรือใบพระที่นังแฝดแบบคาคามารัน Catamaran โยงกับที่ Duke แห่งเอดินเบอเรอ รอถวายเพื่อให้ได้ทรงศกษา
* มด Moth เรือใบที่ทรงปรับปรุงแบบจากเรือใบสากลประเภท ม็อธ มีพระราชดำรัสว่า “ชื่อมด เพราะมันเจ็บๆ คันๆ ดี”
หนังสือ ชีวิตชั้นๆ : หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
เรื่องเล่าจากแม่สา
ครั้งหนึ่ง ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่แม่สา จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจประจำพระราชสำนัก เล่าว่าเส้นทางทรงพระลาดลงไปตวามไหล่เขาค่อนข้างชัน และเป็นระยะทางไกลลิบ และเมื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแล้ว จะต้องทรงพระดำเนินทางกลับระยะทางไกลเท่าๆ กัน รู้สึกเป็นห่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทั้งเป็นห่วงตนเองว่าจะตามเสด็จไหวหรือ
“ขากลับ ได้เรื่องจริงๆ คือพอเดินกลับขึ้นไปยังไม่ถึงครึ่งลูกเขา ผมกำลังหอบ และลากขาอยู่ด้วยความเหนื่อยใจจะขาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินผ่านไป ทรงก้าวยาวเนิบๆ และสม่ำเสมอ มีหม่อมเจ้าภีศเดชทรงเดินตามไปอีกพระองค์หนึ่ง ต่อมาอีกครู่หนึ่งเมื่อมีกลังบ้างแล้วผมจึงกัดฟันเดินต่อ เมื่อไปถึงบ้านแม่สานั้น เห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับหม่อมเจ้าภีศเดช และผู้อื่นอีกหลายคน ขณะที่ผ่านไปได้พระราชกระแสไม่ถนัด (เพราะหูกำลังอื้อและตากำลังลาย) สักครู่หนึ่ง ผมจึงได้ยินท้ายพระสุรเสียงว่า “ยังพูดภาษาราชการไม่ได้”
รอยพระยุคคลบาท บันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
เรื่อเล่าจากสายบุรี
พ.ศ. 2535 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่สายบุรี จังหวัดปัตตานี ทรงพระดำเนินบุกฝ่าพื้นที่สวนเข้าไปในเวลาพบค่ำ ทรงฉายภาพลำแสงสุดท้ายของท้ายวัน จากนั้นท่านทรงงานสร้งอาคารกั้นน้ำที่คลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ขณะนั้นมุสลิมชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างพากันมาเฝ้า รวมทั้งลุงวาเด็ง ปูเต๊ะ วัย 70
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมีพระราชดำรัสถามข้อมูลในพื้นที่ ลุงวาเด็งตอบอย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเฉลียวฉลาด และกราบบังคมทูลภาษถิ่น ว่าดีใจมากที่จะพระราชทานความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันลุงก็เหลียวซ้อยแลขวาอย่างผิดปกติ จนในที่สุดจึงกราบบังคมทูลว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทั้งที ไม่มีสิ่งใดมาถวายเลย ผลไม้ในสวนก็เพิ่งเก็บขายได้เงินมาไม่ถึงสองหมื่นบาท ซื้อเครื่องปั้มน้ำได้ 1 เครื่อง ทั้งสวนเหลือทุเรีรยนเพียงลูกเดียว และยังดิบ
คณะตามเสด็จจึงเย้าว่า ถวายปั้มน้ำจะได้ไหม พื้นที่ ลุงวาเด็งตอบโดยไม่ต้องคิด “ถอดเอาขึ้นรถ ขนไปเลย” เมื่อคณะตามเสด็จฯ กลับไปอีกครั้งลุงก็ยังยืนกรานความตั้งใจเดิม
หลายปีต่อมา ทุกครั้งเมื่อเข้าฤดูทุเรียน ลองกอง จำปาดะ ลุงวาเด็งจะนึกถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และส่งไปรษีย์ อีเอ็มเอสไปถวาย แม้เขียนหนังสือไม่เป็นก็บอกกับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ว่าจะส่งไปสวนจิตรลดา เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ทั้งสองพระองค์จะมีพระดำรัสว่า “ขอบใจ ผลไม้ที่ส่งไปให้ ได้รับแล้ว”
พ.ศ. 2550 ลุงวาเด็งได้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ 2535 ว่า
ตอนนั้นเป๊าะ (ลุงวาเด็ง) ไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเสด็จเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ คิดว่าคนที่มาบอกโกหก ขนาดไปพบแล้วยังไม่เชื่อเลยว่าเป็นในหลวงจริงหรือเปล่า แอบหบิบเงินใบละ 20 บาทกับใบละ 100 บาท ขึ้นมาดู จึงแน่ใจ...ตอนแรกไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ ท่าน เพราะนุ่งโสร่งตัวเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็ตรัสเป็นภาษามาลายูว่า "จะสร้างคลองชลประทานให้" ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลอง ทรงดูแผนที่ และตรัสชมว่า “วาเด็งเป็นคนรู้พื้นจริง” ภายหลังลุงวาเด็งยังได้ถวายที่ดินเพื่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า “วาเด็งเป็นคนซื่อตรง จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อน” เป็นที่มาของนาม พระสหายแห่งสายบุรี ได้พระราชทานเงินช่วยเหลือ และทรงฝากความเป็นห่วงลุงวาเด็งเรื่องสุขภาพ ขณะเดียวกันเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ลุงก็จะละหมาด หรือเดินทางมาเยี่ยมพระอาการที่โรงพยาบาลศิริราชพร้อมจำปาดะสวน
ก่อนหน้านั้น ลุงได้เตรียมตัวตัดเสื้อผ้าไว้ในเมือง กว่าจะตัดเสร็จ ต้องไปเฝ้าร้านอยู่หลายวัน กลัวจะไม่ทันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้พระองค์ท่านเห็นว่า ลุงวาเด็งแต่งกายเรียบร้อย....ไม่อายคนที่จะได้เป็นพระสหายแห่งสายบุรี
นักข่าวถามว่า “เวลาอยู่บ้านและคิดถึงในหลวง ทำอย่างไร”
“จะขี่จักรยานคันเก่าออกไปที่ประตูน้ำ ที่ที่พบในหลวงครั้งแรก”
เรียบเรียงจาก ใต้เบื้องยุคคลบาท : ดร.เมธ ตันติเวชกุล
เรื่องเล่าพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
จำได้ว่า เรื่องความคิดในการประมาณนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพยายามสอนให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ตอนนั้นนังไม่ถึง 10 ขวบ ชอบถามปัญหาต่างๆ นาๆ ก็เที่ยวไปถามใครๆ ว่า ข้าวสารกระสอบหนึ่งมีกี่เม็ด ทุกคนร้องบอกว่าบ้า หรือไม่ก็ไม่ตอบ พอไปถึงท่าน ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ทูลถามท่านหรอก ถามคนอื่นแต่ว่าคนอื่นพาไปเข้าเฝ้าท่าน ท่านก็บอกว่ามันต้องรู้จักยอมรับค่าโดยประมาณ ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะบอกอะไรได้เป็นเท่านั้นเท่านี้เป็นจุดทศนิยมเท่าไหร่ได้ แล้วท่านก็อธิบายเรื่องค่าโดยประมาณให้เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบจนเข้าใจได้ แล้วท่านถามว่า ข้าวกระสอบหนึ่งมี่กี่ถัง ถังหนึ่งมีกี่ลิตร แล้วเอาลิตรมาเป็นหน่วยเล็กกว่านั้นอีกแล้วคูณขึ้นไปอีก แต่ม่านไม่คูณให้ ให้ทำเอง....แทบตาย ตอนนั้นสมัยเด็กๆ เพิ่งหัดเรียนคูณไปใหม่ๆ การคูณนี้เป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด โดนทำเสียจนที่หน้าที่หลังจะถามอะไรต้องระวัง แต่ก็จำติดมาได้เกือบ 20 ปี
พระเจ้าอยู่หัว นักวิทยุสื่อสารผู้ยิ่งใหญ่ พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์
~ ~ >> tammy'S YELLOW << ~ ~
ขอขอบคุณหนังสือ HELLO
ตอบลบ