เทวีอุปถัมภ์
ทุกเช้าเด็กชายตัวอ้วนป้อมจะขึ้นรถสามล้อของ “ลุง” ที่หน้าบ้าน
ล้อเล็ก ๆ จะค่อย ๆ หมุนผ่านถนนกรวดเม็ดโต ๆ ผ่านข้างทางที่มีคันดิน ทุ่งนา
และต้นไม้ร่มครึ้มที่มีบ้านเรือนแทรกตัวอยู่เป็นระยะ หนทางที่โล่ง ๆ ดูซับซ้อน กว้าง
และพลุกพล่านขึ้นทุกขณะ
บางวันในฤดูหนาวถ้าฟ้าปิด หมอกขาวขมุกขมัว จะห่อหุ้มอยู่รอบ ๆ ตัว
ไอน้ำชื้นเย็น ปะทะใบหน้าขณะรถแล่นแสนสดชื่น
บางวันที่ฟ้าโปร่ง แดดสายกระจายฟุ้งในม่านฝุ่น เรืองแสงสีส้มสุกปลั่งละลานตา
ตอฟางสีเหลืองซีด หยดน้ำค้างใสเกาะใยแมงมุม หญ้าเล็ก ๆ ใบเขียวชุ่มคลุมดินแห้ง
การได้วิ่งเล่นกลิ้งเกลือกในกองฟาง เป็นความสนุกที่ต้องแลกด้วยลายแตก ลอก ตามผิวหนัง
และไม้เรียวแสบ ๆ คัน ๆ ของพ่อ
บางวันโชคดีที่ฝนตก เขาจะตื่นเต้นเป็นพิเศษกับอุปกรณ์กันฝน
ลุงจะรีบจอดรถ กางผ้าใบพลาสติกสีขุ่น ปิดด้านหน้า แล้วสวมงอบกับผ้ายางกันฝนให้ตัวเอง
ก่อนจะปั่นสามล้อต่อไป ภาพหยดน้ำฝนเม็ดเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ไหลรวมกัน เป็นสาย ใหญ่ขึ้น
แล้วหยดลงสู่ด้านล่าง เมื่อมองผ่านผ้าใบขุ่น ยังติดตา น่าหลงใหล มองได้ไม่มีเบื่อ
รถสามล้อของลุง พาเขาผ่านโรงเรียนประถมใกล้ ๆ บ้าน
ครูใหญ่ผิวเข้มใส่สูทแต่งตัวโก้ ยืนถือโทรโข่งโบกรถให้เด็ก ๆ ข้ามถนน ตรงทางม้าลาย ทุกวัน
รถสามล้อยังแล่นต่อไป ผ่าน วิทยาลัยเทคนิค พาณิชย์
และโรงเรียนมัธยมมีชื่อที่นักเรียนชายหญิง ปั่นจักรยานกันมาเอง ดูคึกคักน่าสนุก
สักวันเขาจะขอพ่อซื้อจักรยานให้เขาปั่นมาเองบ้าง
ผ่านตลาด ร้านค้า ธนาคาร อีกหลายแห่ง กว่าจะมาถึงโรงเรียนของเขา
ใจกลางเมือง จะว่าไปแล้วนี่ก็คงคล้ายชีวิตในปัจจุบัน ที่ชนชั้นกลางจากชานเมือง
เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ความเจริญและโอกาสอันดีกว่า ที่ศูนย์กลาง
ในภาพชีวิต กิจวัตรชินตา การเติบโตในเมืองเล็ก ๆ ชีวิตนักเรียนที่ราบเรียบ
ไม่โดนเพื่อนแกล้ง ทำการบ้านเขียนเรียงความส่งครูได้เองโดยไม่ต้องลอกใคร
ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มบ้าง เป็นนักกีฬาสีตัวสำรอง ได้ที่สองจากการวิ่งผลัด
ให้แม่เย็บกระดุม ชุนผ้ามาส่งในวิชา กพอ
การได้เกรดสี่หลายวิชาอาจเป็นความฝันของเด็กนักเรียนหลายคน
แต่สำหรับเขา หวังลึก ๆ ว่าสักวันจะได้ถือพานไหว้ครูบ้าง
แต่วันไหว้ครูช่างมีน้อยเกินไป เด็กนักเรียนก็คงมีมากเกินไป โอกาสจึงยังไม่เคยวนมาถึงเลย
วัยเด็ก ในครอบครัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สุขสบายหรือลำบาก ก็คงเป็นปกติดีจนได้พบเรื่องแปลกใหม่
เด็กชายมองเธอด้วยความสงสัย อัศจรรย์
“อุ๊ยคำคนแก่ ท่าทางใจ๋ดี ลูกผัวบ่มี เป๋นดีเอ็นดูล้ำ ...”
อยู่ดี ๆ เขาก็พบอุ๊ยคำ ต้องใช่ ต้องเป็นเธอแน่ ๆ
หญิงแก่ รูปร่างผอมซูบ ยืนแช่น้ำอยู่ในคูระบายน้ำข้างวิทยาลัยเทคนิคทางผ่านกลับบ้าน
แดดอ่อนใกล้พลบส่องแสงนวลฟุ้ง ห่อหุ้มรอบตัวเธอคล้ายเป็นออร่า หรือภาพฝัน
ชุดสีดำซีด เปียกครึ่งตัว ที่เธอใส่ ผมสีเทาแซมขาวที่รวบเกล้าอยู่กลางศรีษะ
มือเหี่ยว ๆ ผอมเกร็ง ค่อย ๆ เด็ดผัดบุ้งในคูน้ำช้า ๆ ทีละต้น รวบ มัดเป็นกำใหญ่
แล้วใส่ไว้ในตะกร้าสะพายหลัง ใบหน้าชราเหี่ยวย่น กร้านแดด มอมแมม
ดวงตาหยีเล็กดูเรียบเย็นไม่แยแสต่อรถรา ผู้คนที่จรผ่าน
เธอช่างโดดเด่น ดูลึกลับ กล้าแกร่ง เศร้าสร้อย เปลี่ยวเหงา และเปราะบาง
เขาสะท้านด้วยความรู้สึก หนาวยะเยือก ว่างเปล่า คล้ายจมดิ่งสู่เหวลึก กลางทรวงอก
โลกนี้ ชีวิตนี้ มีสิ่งนี้ด้วยหรือ ความอดอยาก แร้นแค้น สิ้นไร้ โดดเดี่ยว
นับจากวันนั้น ยามที่ต้องอยู่คนเดียว ในเวลาพลบค่ำ
ในแสงสุดท้ายที่ใกล้ลับจากขอบฟ้า บางครั้ง เขารู้สึก เปลี่ยวเปล่า สิ้นหวัง เจ็บลึก
จนแทบจะขาดใจ และร้องไห้อย่างไร้เหตุผล
อุ๊ยคำยังคงปรากฎตัวให้เห็นต่อมาราวกับมีตัวตนจริง แบกถุงผ้าใบใหญ่
เดินอยู่ริมถนน นอนพักอยู่กับพื้นทางเท้าในตลาด
และราวกับไม่มีตัวตน เม่ือคิดว่าหญิงชราต้องดิ้นรนเลี้ยงชีวิตโดยลำพัง ไม่มีแม้บ้าน ลูกหลาน พี่น้อง
เขาอยากรู้เหลือเกินว่าเธอเป็นใคร อะไรทำให้เธอตัดสินใจออกมาอยู่ข้างถนนตัวคนเดียว
เขาพบเธอบ่อยจนรู้สึกเหมือนเธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เหตุนี้เอง
เด็กชายรู้สึกว่า ถ้าวันหนึ่งเขาต้องหนีออกจากบ้าน เขาก็คงไม่อดตาย อยู่ข้างถนน
ความรู้สึกเอ็นดูสงสารจับหัวใจเมื่อแรกเจอ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นชื่นชม และเอาใจช่วย
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้แบมือขอใคร แม้ชรา อ่อนล้า โดดเดี่ยว แต่เธอก็ยังสู้
โชคชะตาที่โหดร้ายไม่อาจทำลายหัวใจนักสู้ของเธอได้
เธอจะเป็นใคร เด็กชายไม่เคยรู้
นานหลายปีต่อมา
ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเขา มีเธอประทับ อยู่ชัดเจน
เทวีแห่งความเข้มแข็งประจำตัวเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น