วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใครจะไปยกมือขึ้น ตอน กล้าๆ กลัวๆ

ตอนเราตัวเล็กๆ อยู่ชั้นประถม พี่เลี้ยงเปิดดูวิดีโอ เราเล่นอยู่ใกล้ๆ ก็เลยนั่งดูด้วย
เป็นหนังลึกลับฝรั่ง พากษ์ไทย เด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าเราตอนนั้นหน่อยนึงแสดงนำ
เธออยู่ในคฤหาสถ์หลังใหญ่ มีโทรศัพท์ของเล่นที่มักจะดังกริ๊งงง เวลาที่เธออยู่คนเดียว
แรกๆ เด็กหญิงตกใจและลังเล แต่หลังจากนั้น ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง เธอจะยกหูโทรศัพท์ขึ้น แล้วพูดว่า "ฮัลโหล..แม่มดเหรอคะ"
เราชำเลืองมองโทรศัพท์ทั้งของจริงของเล่นอย่างไม่วางใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เวลาที่ความกลัวก่อตัว มันจะเริ่มแผ่จากกระดูกสันหลัง วาบไปตามแขนขา ขนหัวลุก พลันจิตใต้สำนึกก็ประมวลผลอย่างไวว่าจะทำไงต่อดีหรือไม่ทำอะไรเลยดี
หนักเข้าอาจกระสับกระส่าย กินไม่ได้นอนไม่หลับ พูดไม่รู้เรื่อง หน้าตาเลิ่กลั่ก แฝงไปด้วยความวิตกกังวล

การเตรียมงานแฮนดี้อินดี้ ดำเนินไปได้กว่าสองเดือน เรามีหน้าที่ติดต่อประสานงาน ประชาสัมพันธ์และวางกิจกรรม
แต่ก่อนที่จะถึงวันงานเพียงสองอาทิตย์ เรามองเห็นงานล่มอย่างไม่เหลือดีรออยู่ตรงหน้า
งบประมาณดูจะได้แหล่ไม่ได้แหล่ ทีมงานเด็กๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว สถานที่จัดงานถูกแย่งไป การประสานงานห่วยแตก ฝืนจัด ก็มีแต่จะล่มเท่านั้น
แล้วเราก็นึกอยากยกเลิกมันไป ไม่เอาแล้ว ไม่อยากทำอะไรต่อ ไม่ต้องเสี่ยง ยุติความกลัวลงซะอย่างนั้น

พี่ที่พาเราขึ้นกระเช้าไปไม่เร่งไม่ฝืน รอให้เราทำใจและให้สัญญาณ เราก้มมองด้านล่างรอบๆ เกือบเที่ยงแล้ว แดดร้อนจัด ผู้คนบนถนนจอดรถนิ่ง แหงนมอง
นึกภาพตอนตัวเองละลิ่วออกไป ช่างเวิ้งว้าง เคว้งคว้าง ไร้ที่ยึดเกาะใดๆ สองขาไม่ขยับ สองมือยึดราวแน่น เสียงทีมงานข้างล่างเชียร์ให้กระโดด กล้องวิดีโอจับภาพ

ถ้าเราตัดสินใจจะจัดต่อ ต้องรับมือกับการรวบรวมน้อง วางแผนใหม่ บริหารงบประมาณ เตรียมตอบคำถาม ฯลฯ
งานปีที่ผ่านมาจัดได้น่ารักอบอุ่นเหลือแสน ถ้าเราทำงานปีนี้ห่วย ก็เสียหน้า อายคนอื่นเค้า ทำอะไรก็ไม่ทัน ประสานงานไม่ได้เรื่อง
เสียงเชียร์จากที่มืดบอกเบาๆ ว่าทำเถอะ เรากำลังสร้างความสุขให้ผู้คน สร้างสันติภาพให้เกิด เราทำลังทำงานท้าทาย พัฒนาศักยภาพ

หลังจากนั้นเวลาถูกทิ้งให้ทำการบ้าน ดูการ์ตูน เล่นตุ๊กตากระดาษ หรือทำอะไรอยู่คนเดียว เราจะทำไม่สนใจโทรศัพท์
รู้ ว่ามันมีอยู่แค่ในหนัง และโทรศัพท์ที่ไม่ได้ต่อสายโทรศัพท์จริงๆ จะมีใครโทรมาได้ยังไง
แต่หลายทีที่เงยขึ้นมอง แล้วคิดไปต่างๆ นานา จินตนาการว่ามีเสียงดังกริ๊งงง แล้วเราจะรับหรือไม่รับดี แต่แค่คิดว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ก็ขนลุกซู่

ขึ้นมาถึงนี่แล้ว จะนั่งกระเช้ากลับลงไปก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ ขึ้นมาถึงนี่แล้ว
กลุ่มคนที่จอดรถมองเพิ่มขึ้น บางคนโบกมือให้ รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ มาดูกายกรรมละครสัตว์รึไงไม่ทราบ

ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครอยู่กับเราซักคน
เวลาที่ต้องเผชิญกับความกลัว เวลาที่ต้องรวบรวมความกล้า
ไม่มีใครขอให้มา ไม่มีใครเชียร์ ไม่มีใครห้าม

หันไปบอกพี่ที่จับเชือกอยู่ข้างหลัง "หนูจะหลับตา แล้วพี่ช่วยผลักหน่อยนะ"
ว่าแล้วก็ขยับเท้าให้ยื่นออกไปจากแท่นกระเช้า ปล่อยมือจากราว กอดอก หลับตา พี่ผู้ชายแตะมือที่ไหล่ทั้งสองข้าง
"พร้อมนะ"
"ตายก็ตายนะพี่"
"ครับ ไม่ตายหรอก"
กลั้นหายใจ อยู่กับความมืดใต้เปลือกตา รู้สึกถึงแรงผลักจากไหล่ทั้งสองข้าง
สันหลังร้อนวาบ เรากำลังจะหล่นลงไปที่หนองน้ำข้างล่างนั่น
จะฝืนแรงก็ได้ จะบอกให้หยุดก็ได้ เอนตัวไปข้างหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง
แล้วตัวเราก็ลอยละลิ่ว

งานแอนดี้อินดี้เป็นไปตามคอนเซ็ปท์หลัก น่ารัก อบอุ่น ทีมงานร่าเริง ถ่ายรูปสนุกสนาน มันคือผลจากการตอกตะปู เจาะสว่าน
เดินประชาสัมพันธ์กลางแดดร้อนและทุกขั้นตอนเตรียมงาน ผู้คนยิ้มแย้ม เดินกันเบียดเสียด พ่อแม่ลูกจูงมือกัน
เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊ก เสียงหัวเราะจากกลุ่มเด็กที่เล่นโดดยาง เสียงเพลงบนเวที กลิ่นอดีตคุกรุ่น

ดูจากวิดีโอ ท่ากระโดดของเราไม่งามนัก แต่การได้เคลื่อนไหวตามแรงเหวี่ยงของเชือก เล่นกับลม มันอิสระ โล่ง ปลอดโปร่ง สะใจ

งานแฮนดี้อินดี้ราบรื่น มีปัญหาบ้าง แต่เราก็แก้กันได้ตามกำลัง
ตัดสินใจแล้วก็แค่ลุยต่อให้จบ ตายก็ตาย

เชือกห้อยต่องแต่ง พี่ทีมงานด้านล่างยื่นไม้ให้จับ เพื่อดึงตัวเราเข้าฝั่ง
ได้ยินประโยคแรกจากพี่ที่แกะเชือกจากข้อเท้าให้ "เป็นไงมั่ง"
เราหน้าตาตื่น ยิ้มร่า
"ขออีกทีได้มั้ยพี่".

2 ความคิดเห็น: