วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประจักษ์พยาน ผลงานจิตรกรรม โดยสุดศิริ ปุยอ๊อก

“ประจักษ์พยาน คือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง”


“ฉันคือประจักษ์พยานในการเดินทางของตัวเอง ทุกชั่วขณะของการเดินทาง มักมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามากระทบกับตัวเรา สายตา อารมณ์ความรู้สึก และความนึกคิดของเรา ไม่ว่าโดยรู้ตัวหรือเกิดขึ้นอย่างบังเอิญก็ตาม การเดินทางฝ่านช่วงเวลาและสถานที่ต่างๆมากมายเหล่านั้นกลับทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะหยุดนิ่ง เฝ้ามอง และครุ่นคิดกับชั่วขณะของเวลา”(สุดศิริ ปุยอ๊อก)

มีสถานการณ์ใดบ้าง? ที่เราต้องการประจักษ์พยาน... ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ลึกลับคับขันเพื่อการค้นหาความจริง ก็น่าจะเป็นสถานการณ์ในแง่ที่น่าจดจำและแบ่งปัน สถานการณ์พิเศษที่ว่านี้ ไม่ว่าดีหรือร้ายย่อมไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ถ้าเมื่อใดต้องการบอกเล่าถึงเหตุการณ์เราจึงจำเป็นต้องมีประจักษ์พยานอยู่ร่วมสถานการณ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องเล่านั้น

การประกาศว่า “ฉันคือประจักษ์พยานในการเดินทางของตัวเอง” ของสุดศิริ จึงเป็นเรื่องชวนพิศวงและชวนเหงาใจอยู่ไม่น้อย ไม่มีแม้ประจักษ์พยานในเหตุการณ์แสนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาในสายตาศิลปิน ฝูงกาบินปะปนกับถุงพลาสติก หนูที่ซ่อนอยู่ในหลืบห้องทำงาน ถนนอ้างว้าง หนทางเปลี่ยว เหตุใดเหตุการณ์แสนธรรมดาที่เกิดกับใครก็ได้จึงจำเป็นต้องมีประจักษ์พยาน หรือเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดา?

แน่นอนว่าหัวข้อที่ศิลปินนำมากล่าวถึงเป็นผลงานจิตรกรรม แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วๆไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาของศิลปิน เพราะการจะเป็นศิลปินได้นั้น ต้องสถาปนาความเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ ถ้าไม่มีฝีมืออะไรเลยก็ควรจะมีความคิด มุมมองที่พิเศษพิสดาร ไปกว่า
บุคคทั่วๆไป จึงจะคู่ควรต่อการสร้างสรรค์ศิลปะอันวิจิตร

ในกรณีของสุดศิริ ปุยอ๊อก ประจักษ์พยานนั้นคืองานจิตรกรรมของเธอเอง แม้เรื่องราวที่ปรากฏในภาพวาดจะไม่ได้เป็นเรื่องที่วิเศษพิสดารอะไร หากแต่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ธรรมดา ซึ่งศิลปินเลือกบันทึกชั่วขณะของความรู้สึกที่เกิดจากประสบการณ์ตรงที่ศิลปินนั้นมีต่อสถานที่ เหตุการณ์ สถานการณ์ ความลึกลับ ความลังเล ที่กระโดดข้ามไปมาระหว่างเรื่องจริง และเรื่องแต่ง สภาวะชั่วขณะของความลังเลอันแสนอ้างว้าง จึงเป็นเสน่ห์ที่แท้จริงของจิตรกรรมในชุดนี้

องค์ประกอบของภาพที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ได้ตอกย้ำ “เวลา” ที่ไม่สามารถอ้างอิงได้บนพื้นโลก สถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก หรือนั้นคือสิ่งที่ดำเนินไปภายในจิตใจของศิลปิน

Memory of My Studio Mate (2005), 50 x 60 cm. , Oil on canvas

“หนูที่ซ่อนตัวอยู่ในสตูดิโอของศิลปิน” ขนมปังที่ถูกแทะ เสียงกุกกักยามค่ำคืน ย่อมรับรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่ามีหนูอยู่เป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ความรู้สึกของการอยู่คนเดียวได้กลืนกินเหตุผลทั้งหมดสิ้น ไม่มีหนูที่นี่ “ฉันอยู่เพียงลำพัง” ความเป็นจริงจึงขัดแย้งกับความรู้สึก

(หมายเหตุ : ศิลปินได้วาดรูปนี้ขึ้นขณะพำนักในสตูดิโอ ของสถาบัน Rijksakademie van Beeldende Kunsten กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์)
Flying Black Plastic Bag Among the Crows (2008), 70 x 110 cm. , Oil on canvas

“ถุงพลาสติกที่ลอยปะปนกับฝูงกา” ถ้ามองเพียงผ่านจะรู้สึกว่าถุงพลาสติกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต ล่องลอยอิสระเหมือนนกบนท้องฟ้า หรือถ้าไม่ใส่ใจ ก็อาจจะไม่รู้เลยว่า สิ่งที่โบยบินอยู่นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่แต่ถ้าเมื่อใดที่รู้ว่าสิ่งนั้นคือถุงพลาสติก ขณะก่อนจะเกิดความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล ความลังเล ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ และ ไม่มั่นคง ปะปนอยู่ในความรู้สึก ท้องฟ้าสีเทาอมชมพูที่ละลายอยู่ทั่วทั้งภาพจึงเป็นเสมือนผ้าคลุมของบรรยากาศที่อ้างว้างนั้น

The Orange Buoy (2009), 65 x 100 cm. , Oil on canvas

ลูกบอลสีส้มลอยอยู่กลางพื้นน้ำกว้างไกล จะปราศจากความหมายหากลูกบอลนั้นไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้ว่าจะอยู่ตรงกลางของภาพ หากว่าภาพนี้ ไม่ได้ประกอบไปด้วยพื้นที่ว่างรอบๆ เป็นความจงใจของศิลปินในการสร้างองค์ประกอบที่เรียบง่าย นิ่งเฉย ด้วยการห่อหุ้มวัตถุขนาดเล็กด้วยพื้นที่ว่างสีเทาขนาดใหญ่ ความเงียบเข้าครอบงำทั่วผืนภาพ แต่ทั้งหมดนั้น ช่วยให้ลูกบอลสีส้มปรากฏตัวขึ้นอย่างโดดเด่น “ลูกบอลลูกนั้นมีอยู่ และอยู่มานานแล้ว แต่ปราศจากการให้ความหมาย พื้นที่ว่างจึงเป็นประจักษ์พยานของการมีอยู่ของลูกบอล”

เหตุใดในยุคสมัยของข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นพวกสมาธิสั้น ยังมีประจักษ์พยานของความเงียบ ความอ้างว้าง โดดเดี่ยว ที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในงานฝีมือที่ต้องใช้เวลาอย่างจิตรกรรมสีน้ำมัน?

สมองซีกซ้ายรับรู้ข้อมูล ส่วนสมองซีกขวารับรู้บริบท หากแต่บางขณะ เราไม่ได้ต้องการรับรู้ด้วยสมอง หรือ บางขณะเรายังต้องการประจักษ์พยานว่าเรายังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจ.

อังกฤษ อัจฉริยโสภณ 100313
นางแล เชียงราย


“Eyewitness” by Sudsiri Pui-Ock
5-30 January 2010 at angkritgallery







1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านจบแล้วรู้สึกเหงาๆ ล่องลอยๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ

    ตอบลบ