วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

1+1=0 ตอน ร็อค แอนด์ แร่ด

การ ฟัง เพลงนั้นง่ายกว่าการเที่ยวไปบอกใครๆ ว่าเพลงที่เราฟังอยู่นั้นมันเจริญรูหูอย่างไรและเช่นไร

สิ่งหนึ่ง(ที่ก็ไม่ได้พิเศษอะไรนักหรอก)เกี่ยวกับเพลงก็คือ คุณไม่ต้องเล่นเครื่องดนตรีอะไรเป็นสักอย่าง และตอนที่คุณร้องเพลง แม้เสียงของคุณจะไม่เอาถั่วเอางาเอาอ่าวอะไรไหนเลย คุณก็สำเริงสำราญกับมันได้

หลายปีก่อนเพื่อนของฉันแนะนำให้ฟังวงร็อควงหนึ่ง บอกย้ำกับฉันว่า “เธอต้องปลาบปลื้มแน่ๆ” พอได้ยินว่าเป็นวงร็อคและเมื่อได้อ่านชื่อวงแล้วฉันก็ร้อง “เหอะ ชั้นไม่ฟังร็อค ชั้นเกลียดเสียงกลอง และชื่อวงอะไรยังง้านน ไม่มีทาง” เห็นไหมว่าการแนะนำให้กันนั้นยาก ต่อให้คะยั้นแล้วคะยออีก ถ้าคนมันจะไม่ฟัง ก็คงจะไม่ นอกเสียจากว่าจะมีอะไรมาดลใจ หรือจับพลัดจับผลูให้ไปฟังเข้าโดยบังเอิญ

หลายเดือนผ่านไปหลังจากนั้น ขณะปล่อยให้ mp3 รันเพลงไปเรื่อยโดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกะมันนัก เยื่อหูชั้นในของฉันก็ถูกกระแทกด้วยเพลงร็อคซึ่งเคยปฏิเสธ และชื่อวงที่อ่านแล้วส่ายหน้า (ก็ฉันไม่ชอบร็อคนี่ – ถึงจะปฏิเสธ แต่ก็เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ เพื่อนให้มาก็จับมันยัดลงไปในเครื่องเสียหน่อย) วงนั้นคือ The Killers

แต่จะบอกว่าร็อคแบบนี้ก็ไม่เลวนะฮะ


โถ! ฉันย้อนกลับไปนึกถึงคำเพื่อน “ปลาบปลื้มแน่” – ฮะ ปลาบปลื้มจนลืมตายไปเลย

จริงล่ะหรือที่ว่ามันคือร็อค เสน่ห์ของ The Killers ก็คือ มันเป็นดนตรีร็อคที่เจือความแร่ด Mr.Brightside คือแทรคแรกที่ได้ฟัง ตอนนั้นฉันไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับวงนี้เลย ไม่รู้ว่ามีสมาชิกกี่คน ไม่รู้ว่าเป็นดนตรีจากฝั่งไหน หลังจากทำความรู้จักกับวงนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าความสำเร็จของ The Killers นั้นกว่าครึ่งหนึ่งของผลนั้นต้องยกความดีความชอบให้ Brandon Flowers นักร้องนำ เขาเป็นคนที่มีบุคลิกเฉพาะบางอย่าง ทั้งเสียงร้องและท่วงท่า ฉันคิดว่ารสแร่ดที่เราได้จากเพลงของ The Killers นั้นมาจาก Flowers เขาเป็นคนใส่รสนี้ลงไป

ลองนึกภาพหนุ่มรูปงามที่แต่งหน้าทาขอบตาเสียดำแล้วครางเพลงร็อค กระแทกส้นจิกปลายเท้าสิ ในตอนนั้นชั้นว่าเค้าเจ๋งและปรี๊ดเอามากๆ

เนื้อหาในเพลงของ The Killers นั้นหนักแน่นทว่าถูกแสดงออกด้วยน้ำเสียงและท่าทีกรีดกราย ฉันแทบไม่เชื่อว่านี่คือวงร็อคอเมริกา และมาจากเท็กซัส รสของดนตรีออกจะค่อนไปทางเพลงบริทเสียมากกว่า และตอนนั้นฉันรู้สึกถอนตัวไม่ขึ้น


นับจากปี 2004 มาจนวันนี้ The Killers ออกมา 4 ครั้ง จาก Hot fuss สู่ Sam’s Town แทบจะไม่ย้ำอยู่กับที่ แม้ว่า Sawdust ที่ออกมาในช่วงปลาย 2007 นั้น ทำท่าดูเหมือนว่าจะสิ้นฤทธิ์ด้วยการไปหยิบเพลงเก่าของตัวเองมาทำซ้ำในแบบใหม่ หรือหยิบเพลงของวงแกรนๆ อย่าJoy Division (Shadowplay) และ Dire Straits (Romeo and Juliet) มา cover ใหม่ [Sawdust เป็นอัลบั้มคอลเลคชัน โดยได้แนวคิดมาจากคอลเลคชันอย่าง Hatful of Hollow ของ The Smiths] แต่ฉันกลับคิดว่ามันคล้ายกับพวกเขากำลังหาจุดคลี่คลายบางอย่าง ซึ่งมันก็เป็นทางออกที่ไม่เลวเลย

ทุกครั้งที่ The Killers หยิบเพลงของใครมาทำซ้ำ แน่นอน ฉันว่า มันเป็นการทำซ้ำที่ออกจะดูเร้าใจ ไม่ว่าจะของตัวเองหรือของคนอื่น นับแต่ why don’t you find out ของ The Smiths ที่เป็นโบนัสแทรคใน Hot fuss Limited edition 7 นี่ก็ฟังเพราะไปอีกแบบ

สิบสองเดือนต่อมาหลังจาก Sawdust The Killers ก็ปล่อย Day & Age สตูดิโออัลบั้มที่ 3 ออกมา

Day & Age สำหรับบางคน อาจจะดูนิ่งๆ เฉยๆ ความตื่นเต้นเร้าใจจากสองชุดแรกจางออกไปบ้าง และฉันว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ ขณะที่คนเราอายุเยอะขึ้น จะให้มาแดนซ์กระแทกส้นจิกปลายเท้าถี่ๆ เหมือนเก่ามันก็คงจะไม่ไหวทั้งคนร้องและคนฟังคนดู (แต่พ่อดอกไม้ของเราก็ยังคงความแร่ดไม่เสื่อมคลายนะ)

เนื้อหาของเพลงใน Day & Age นั้นดูจริงจังกว่าที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังประชดแดกดันคงเส้นคงวาเช่นเดิม เพียงแต่ด้วยน้ำเสียงแก่ชีวิตกว่าเก่า พูดถึงธรรมชาติ ความเป็นไปของโลก โลกที่ไม่ใช่ในความหมายว่า world แต่เป็น earth/global บางเพลงฟังดูออกจะมีความเหนื่อยล้าและปลดปลง มันมีมิติที่แปลกแยกและแตกต่างออกไป

ฉันคิดว่าจุดเด่นของ The Killers อีกอย่างคือเนื้อร้อง ถ้าลองเอาเพลงมาอ่านก็อาจจะรู้สึกว่ากำลังอ่านบทกวีมากกว่าอ่านเพลง (อันที่จริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอก) เนื่องจากเนื้อร้องมักมีคำเปรียบความเปรียบประหลาดๆ อย่างในแทรค Human นั้น มีประโยคหนึ่งที่เป็นถกเถียงกันมากว่าประโยคนั้น flowers เค้าร้องว่าอะไร ประโยคที่ว่าคือ Are we human / or are we dancer? เป็นที่สงสัยกันมากว่ามันเป็นการใช้คำผิดหลักไวยกรณ์หรือเปล่า มัน dancer หรือ denser กันแน่ (ไปโน่น อันที่จริงฉันว่าเราจะไปตีความเนื้อร้องให้มันได้ถ้วยได้โล่อะไรกันนักนะ ประโยคไหนแปลไม่ออกก็ร้องไปไม่ต้องแปล)

และสุดท้ายพ่อดอกไม้ก็ออกมาให้การด้วยท่าทีเซ็งโลกว่ามันคือ dancer นั่นแหละ ทำไมจะต้องรู้สึกสับสนกันขนาดนั้น เขาบอกว่าเนื้อท่อนนี้เขาได้ความคิดมาจากคำดูถูก (ไม่ขอขยายความนะฮะว่าดูถูกอะไร อย่างไร) พ่อดอกไม้ก็แค่เป็นคนขี้ประชดแค่นั้นเอง และฉันก็มักจะคิดเองเออเองว่า เสน่ห์ของเพลงมันก็ควรเป็นงี้ ประชดแดกดันให้แสบคันบ้าง ไม่ใช่พล่ามถึงแต่เรื่องรักอกหักตะหวักตะบวย คลีเชเหลือเกินฮะ

The Killers นั้นกลายเป็น mainstream ตั้งแต่ยังไม่ทันข้ามปี สตูดิโออัลบั้มชุดสองยังไม่ทันออกมาเกลือกหูผู้คน ชุดหนึ่งก็ออก Limited Edition ตามมาไม่หวาดไม่ไหว - มันคือวิถีของดนตรี (และอาจจะรวมถึงงานแขนงอื่นๆ ด้วยก็ได้ไม่จำเพาะแต่ดนตรี) indy เกิดมาเพื่อตายแล้วกลายเป็น mainstream เมื่อกลายแล้ว ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและจุดยืน

ฉันคิดว่า indy นั้นมีระยะและช่วงเวลาของมัน จะให้มาindy กันตลอดปีตลอดชาติก็ดูเหมือนจะไม่ไปไหน (มันน่าคิดนะฮะ หากวงอินดี๊อินดี้สักวงหนึ่งจะอินดี้อินฟินิที้ มันก็ให้นึกสงสัยว่าน้องไม่คิดจะไปผุดไปเกิดไปพลุแตกเป็นวงบิ๊กวงท็อปกันหรือไง) ดูอย่างลิงอาร์คติก เป็นลิงอินดี้ที่ตายแล้วเสวยชาติกลับมาเกิดเป็นเจ้าชาย ( Arctic Monkeys เป็นวงร็อคเด็กแนวมากกกจากฝั่งอังกฤษคุณก็รู้จักนี่)

อันที่จริงตอนที่คิดว่าฉันจะเขียนถึงเพลงแบบไหนและของใครดี ฉันไม่ได้นึกถึง The killers เลย จนกระทั่งไปหยิบสมุดบันทึกเปิดออกแล้วเจอลายมือขยุกโย้เย้ของตัวเองเขียนข้อความว่า

..........Aggressively we all defend the role we play

Regrettably time’s come to send you on your way

We’ve seen it all bonfires of trust flash floods of pain....
.........................................
.........................


We hope you enjoyed your stay
It’s good to have you with us, even if it’s just for the day
..........................................................
Outside the sun is shining, seems like heaven ain’t far away
.........................................
Even if it’s just for the day.

3 ความคิดเห็น: