วันนั้นเต่าวัยอ่อนสายตาสั้นนอนหงายตะเกียกตะกายอย่างสิ้นท่า
ชายชราหน้าหมอง เดินสะเปะสะปะ สะดุดกระดองแข็งจนร้องโอ๊ย ทั้งคนทั้งเต่าต่างตกใจ
เต่ากระดอนพลิกหงาย คว่ำ หงาย คว่ำ หงาย คว่ำ อยู่สามตลบจึงหยุดกลิ้ง
“ขอบใจตาเฒ่า!” เต่าหนุ่มทักขึ้นก่อน
“เออ ๆ ไม่เป็นไรไอ้เต่าซุ่มซ่าม” ชายชรา เพ่งสายตายาว หยีเล็ก มองทางต้นเสียง
เต่าเลือนลางกลางเปลวแดดวิบไหวคล้ายภาพหลอน
“ข้าคงแก่ จนหลง คิดไปเองว่าเต่ามันพูดได้” ชายแก่รำพึง
“ใช่แล้วตาเฒ่า เต่าที่ไหนจะพูดได้ อั๊วเป็นเสียงจิตใต้สำนึกของแกเอง แกน่ะแก่เฒ่ามากแล้วนะ ใกล้เวลาจะต้องไป ข้าจึงตัดสินใจพูดให้แกได้ยิน”เต่าหนุ่มนึกสนุกจึงยั่วชายแก่เล่น
“เออ อย่างนั้นเร๊อะ … ก็คงใกล้เวลาเต็มที ข้าเองก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงแล้วเอ็งเอ๋ย เมื่อไหร่กันล่ะ” ตาเฒ่านั่งลงช้า ๆ ทอดอาลัยกับชีวิต บนผืนทราย ร้อน ๆ แฉะ ๆ นั้น
“วันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืน เมื่อไหร่ที่แกพร้อม” เต่าตอบ
“แต่ว่าแกยังมีอะไรติดค้างในใจอีกหรือเปล่าล่ะตาแก่”
“... ก็นั่นสินะ ข้าเองก็ลืม ๆ ไปแล้วสิ ว่าข้ายังติดค้างอะไรกับใครอยู่อีก ...” ตาแก่รำพึงถึงอดีต
“ลูกแก เมียแก บ้านช่อง พี่น้อง ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ”
“ข้าตัวคนเดียวมาหลายปีแล้ว เอ็งก็รู้ … เอ๊ะ ไหนว่าเอ็งเป็นจิตใต้สำนึกของข้ายังไง ทำไมเอ็งไม่รู้วะ” ตาเฒ่าเริ่มสงสัย
“หนอย ๆ ข้าก็อยู่กับแกมาตลอดนั่นแหละ ข้าเห็นความเกิด ความแก่ อยู่กับแก กินกับแก นอนกับแก สุขกับแก ทุกข์กับแก ข้าไม่เคยทิ้งแกไปแม้สักเสี้ยววินาทีหรือสักครึ่งลมหายใจ และข้าก็ไม่ได้แก่เฒ่าเลอะเลือนอย่างแกด้วย ไอ้แก่”
“ก็คงจะจริง ข้ามันแก่ซะจนหลง ๆ ลืม ๆ ไปหมดแล้ว … ” ตาแก่ก้มศีรษะดึงผม พยายามนึกถึงเรื่องราวของตัวเอง นิ่งงันเนิ่นนาน
“ข้าเป็นใครนะ เอ็งช่วยบอกข้าอีกทีซิ” ตาแก่ตะโกนขึ้นหลังครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ไอร้อนจากแดดบ่าย อบผืนทรายจนระอุเดือด ชายชรา หน้าแดงกำ่เหงื่อไหลซึมไม่ขาดสาย
“เอ็งเป็นเศรษฐี เอ็งเป็นขี้ข้า เอ็งเป็นพ่อค้า เอ็งเป็นชาวนา เอ็งเป็นยาจก เอ็งเป็นเจ้านาย เอ็งเป็นผู้ร้าย เอ็งเป็นใคร เอ็งก็ลองนึกดูสิ”
“... ใช่ ๆ ข้าเป็นเคยเป็นเด็ก ข้าโตเป็นหนุ่ม ข้าเป็นพ่อค้า ข้าทำมาหากิน ข้าเคยทำนา ข้ารำ่รวย ข้าเป็นเศรษฐี ข้าเป็นผัว ข้าเป็นพ่อ ข้าเป็นคนร้าย ข้าเคยฆ่าคน ข้าเป็นนักโทษ ข้าเป็นขี้ข้า ข้าเป็นขอทาน ข้าเป็นไอ้แก่ ...”
ตาเฒ่ารำพึงรำพัน อย่างตื่นเต้นและอ่อนล้า
“แล้วจริง ๆ เอ็งเป็นใครล่ะ” เต่ายั่วต่อ
“นั่นสิ จริง ๆ แล้วข้าเป็นใครล่ะ ...” น้ำเสียงตาเฒ่าหดหู่สิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“แล้วเอ็งอยากให้ตัวเองเป็นอะไรล่ะ”
“ข้ายังจะเป็นอะไรได้อีกหรือ ข้าแก่เฒ่า แขนขาอ่อนล้า ตาฝ้าฟาง ร่างกายทรุดโทรมเสียอย่างนี้แล้ว ...”ตาเฒ่าก้มหน้าละอายแก่ใจ พยายามเพ่งมองมือเหี่ยว ๆ ของตัวเอง
“ตาเฒ่าเอ๋ย ข้าจะบอกอะไรให้ เอ็งกับข้าก็แก่เท่า ๆ กัน แล้วทำไมเอ็งต้องท้อแท้นักล่ะ”
“ข้าจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนล่ะ เวลาข้าใกล้จะหมดแล้วไม่ใช่รึ”
อาทิตย์บ่ายยังคงแผดเผาผืนทราย และผิวหนังเหี่ยวย่นของชายแก่จนแดงกำ่
น้ำตาแห้งผากหยดเล็ก ๆ ขุ่นมัวใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะกลั่นผ่านเบ้าตาลึกโบ๋อาบสองแก้มชายชรา
“ข้าหมดแรง หมดไฟแล้วจริง ๆ …” เสียงสะอื้นที่เปล่งแทบไม่พ้นลำคอ ชวนหดหู่วังเวง
เต่าเร่ิมรู้สึกว่าการหยอกเล่นกับตาเฒ่าเลยเถิดเพราะความคะนองปาก
“เอาเถิด ข้าจะบอกเคล็ดลับให้ ...” เต่าพยายามหาทางออกในที่สุด
“หือ … ฮือ ...” ตาแก่สะอื้นออกมาเบา ๆ
“ตาแก่เอ๋ย ถ้าแกยังมีลมหายใจ ก็แสดงว่าแกยังมีหน้าที่ มีเวลาอยู่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ ถ้าแกยังได้ยินเสียงที่ข้าพูดและเข้าใจได้ ก็แสดงว่าแกยังพอมีสติ ปัญญาไม่หลงลืม … เอาล่ะ ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าอยู่กับแกมาตั้งแต่ต้น และข้าก็จะอยู่กับแกต่อไปจนวันสุดท้าย ข้าไม่เคยแก่ ไม่เคยเปลี่ยน มีแต่แก ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา”
ตาเฒ่าเงยหน้าพยายามใช้สายตายาวพร่ามัวมองหาต้นเสียง ว่าดังมาจากก้นบึ้งของสมอง หรือจิตใต้สำนึกอันลี้ลับสุดหยั่ง หรือว่ามาจากภูติผี เทพเจ้าพระองค์ใด
“ข้ารู้ว่ามันยากจะเข้าใจ ...” เต่าพูดช้า ๆ เนินนาบ ทำท่าสำคัญราวกับกำลังจะบอกความลับแห่งสวรรค์ให้แก่ศาสดาพยากรณ์ก็ไม่ปาน
“รู้เอาไว้ว่า ไม่ใช่ทั้งแกและข้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ความคิดของแกตะหากที่คิดว่าแกเปลี่ยน และเปลี่ยนแปลงตัวแก
เมื่อข้าเป็นนายความคิด เป็นจิตเหนือสำนึกของแก ข้าจึงไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างแก”
ตาเฒ่ายังคงนิ่งเงียบ แดดบ่ายเริ่มอ่อนล้า เสียงสะอื้น เสียงคลื่นกระทบทรายแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ
น้ำทะเลค่อย ๆ ขึ้นสูงจนท่วมเข่า
เต่าหนุ่มสายตาสั้น รู้สึกเสียใจที่ล้อเล่นกับชายชราจนเกินควร
“เวรกรรมของเอ็งและข้าว่ะตาแก่ ข้าขอบใจที่เอ็งช่วยเตะข้า ถือว่าเราหายกันนะ” เต่าค่อย ๆ เดินช้า ๆ หายไปกับฟองคลื่นและแสงสุดท้าย เมื่อตะวันลับขอบฟ้า
“เอ็งก็คือข้าใช่มั๊ย ...”
เต่าดำลึกลงไปใต้ทะเล จนไม่ได้ยินเสียงชายชราตะโกน คุ้มคลั่งอยู่ที่ชายหาดอีกแล
วันหนึ่ง เต่าทะเลแก่หงำเหงือกโชคร้าย ถูกคลื่นซัดมาเกยตื้น ถูกหมาจรจัดวิ่งไล่ฟัดริมถนน ถูกเด็กซน ๆ กลุ่มหนึ่งจับโยนเล่นไปมา และปล่อยทิ้งไว้ที่โคนไม้ ถูกลิงทะโมนอยากรู้ฝูงใหญ่หอบหิ้วขึ้้นไปสวางทิ้งไว้บนผาหินปูนริมหาด
“ตาเฒ่าเอ๋ย เอ็งจะใจดำไปใย มาช่วยเตะข้าให้หงายคว่ำตกทะเลไปอีกทีเถิด...”
เสียงรำพึงอ่อนล้า แผ่วจาง ที่ชาวบ้านละแวกนี้เล่าต่อ ๆ กันมาหลายชั่วอายุคน
ถ้าตั้งใจฟังดี ๆ ออกไปยืนริมหน้าผาแห่งนี้ คุณก็อาจจะพอได้ยิน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น