วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ครูผ่องศรี โฟล์คเต่าสีส้ม และความทรงจำของผม โดย เล็ก หมีพูห์

คุณครับ คุณเคยหลงรักครูประจำชั้นบ้างมั้ย

.....ลองทบทวนความจำดูสิ ..อาจจะมีสักครั้งหนึ่ง ในชีวิตของคุณน่ะ บางทีคุณอาจจะลืม

สำหรับผม ไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไร เพราะแม้ว่าความรักครั้งนั้นจะเป็นเหมือนกับเรื่องราวตลก ๆ ที่คิดขึ้นมาครั้งใด ก็อดรู้สึกยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็แปลก ที่ผมกลับยังรู้สึกจริงจังกับมัน และมันก็ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ อย่างกับว่ามันคือลายมือที่ไม่มีทางลบเลือนไปจากฝ่ามือของผมเอง

ราว 7.30 นาฬิกา ของทุกวัน ที่รถโฟล์คเต่าสีส้มคันเล็กกะทัดรัดจะค่อย ๆ เคลื่อนผ่านประตูทางเข้าโรงเรียน แล่นช้า ๆไปตามถนนเล็ก ๆ ที่ทอดตัวไปหาอาคารเรียน โดยมีต้นจามจุรีดอกสีส้มแดงปลูกอยู่สองข้างทาง

รถโฟล์คเต่าคันสีส้มป้ายทะเบียน ฉช -2364 ค่อย ๆ แล่นเอื่อย ๆ ตรงมาจอดนิ่งสนิทด้านหน้าอาคารเรียนชั้นประถม ก่อสร้างด้วยซีเมนต์ ทาสีไข่ไก่หลังนั้น

เมื่อประตูรถโฟล์คเต่าค่อย ๆ เปิดออก การเดินทางของเวลาในจินตนาการของผมก็เริ่มอ้อยสร้อยเชื่องช้า หรือที่ภาษาภาพยนตร์เขาเรียกว่า สโลว์โมชั่น

สายตาของผมตัดส่วนความสนใจอยู่เฉพาะตรงประตูรถ ที่มีน่องขาเรียวยาวของคุณครูผ่องศรี กับรองเท้าส้นต่ำสีส้ม ค่อย ๆ ก้าวย่างลงมาอย่างเชื่องช้า เป็นภาพอันสวยงามที่ผมดูไม่เคยเบื่อ เพราะหลังจากนั้นเมื่อคุณครูผ่องศรีก้าวออกมาจากรถแล้ว สายตาผมก็จะเริ่มซูมออก รับเป็นภาพกว้าง เพื่อบรรจุภาพของคุณครูผ่องศรี ครูประจำชั้นที่สวยที่สุดในโ ลก ไว้ในกรอบภาพได้พอดี

ครูผ่องศรีเป็นผู้หญิงที่มีคุณสมบัติความงามด้านเรือนร่างและหน้าตา สมบูรณ์แบบเท่าที่กวีเคยนิยามความงามของอิสตรีด้วยถ้อยคำ สำหรับเด็กอายุ 12 ขวบอย่างผม ซึ่งเรียนภาษาไทยไม่ได้เรื่องได้ราว จึงหมดโอกาสที่จะพรรณนาความงามของครูผ่องศรีให้ดีเท่า ไม่เช่นนั้นแล้ว ทุกเช้าที่ผมแอบมองอยู่หลังพุ่มชบา คงจะต้องฮึมฮำบทกวีออกมาไม่ซ้ำบท ในแต่ละวันทีเดียว

ครูผ่องศรีมีสามีหนุ่มที่บุคลิกภูมิฐาน เป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพ ฯ สาขาฉะเชิงเทรา นั่นคือเมื่อ 30 ปีผ่านมาแล้ว

บ่าย 4 โมงครึ่งคือเวลาที่ครูกลับบ้าน พร้อมหอบแฟ้มเอกสารไปทำงานที่บ้านต่อ ในช่วงเวลาเย็นอย่างนี้ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ จะมีพ่อแม่ผู้ปกครองรับกลับบ้านไปหมดแล้ว แต่ผมก็ยังซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มต้นชบาเพื่อกดชัตเตอร์เก็บภาพครูผ่องศรีไว้ในความทรงจำอีกภาพหนึ่ง

บางทีผมก็เป็นห่วงคุณครู ว่าจะทำงานดึกเกินไป เพราะทุกวัน ๆ ผมก็เห็นคุณครูหอบเอกสารเป็นตั้ง ๆ อยู่เรื่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะครูทำงานช้า จนทำงานไม่ทันหรือว่าอธิการโรงเรียน มอบหมายงานให้เยอะเกินไป ถึงต้องเอากลับไปทำที่บ้าน แต่ในตอนนั้นผมก็ไม่มีเวลาจะมาห่วงคุณครูมากนักหรอกครับ เพราะการบ้านที่ผมได้รับในแต่ละวันก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไร

ผมชอบการระบายสีเป็นชีวิตจิตใจ ชอบที่สีน้ำละลายเข้าหากันบนกระดาษ สีฟ้าละลายเข้าหาสีเขียว สีเหลืองละลายเข้าหาสีส้ม ผมมักจะมีสมาธิจดจ้องการเคลื่อนไหวของสีบนกระดาษที่ชุมน้ำได้เป็นเวลานาน ๆ ขณะที่เพื่อน ๆ ผู้ชายของผมจะชอบวิ่งไล่เตะหรือกระโดดถีบกัน โดยเลียนแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ญี่ปุ่นสุดฮิตในยุคนั้น คือ เรื่องไอ้มดแดง หรือไม่ก็เรื่องยอดมนุษย์อุลตร้าแมน

ด้วยความที่ผมเป็นคนช่างคิด ช่างจินตนาการ ผมจึงรู้สึกว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคนเรา บางทีก็แทนด้วยสีได้เหมือนกัน คนที่อารมณ์ตกอยู่ในห้วงรักคงจะเข้าใจสิ่งที่ผมเปรียบเปรยได้เป็นอย่างดี ก็อย่างที่พูดกันว่า แหม ดูสิ ช่วงนี้อะไร ๆ ก็เป็นสีชมพูไปหมดเชียวนะ ตั้งแต่มีความรักเนี่ย... แล้วคนที่ถูกแซวก็อายหน้าแดงไปเลย อะไรประมาณนั้น

สีฟ้า

ผมชอบสีฟ้า เวลาเช้า ๆ ก่อนที่กระดิ่งไฟฟ้าของโรงเรียนจะดัง ผมจะชอบนอนตรงสนามหญ้า ดูสีฟ้าของท้องฟ้า และมองเมฆคิวมูลัส ซึ่งเป็นเมฆก้อนปุกปุยน่ารักไหลเลื่อนไปตามช่องว่างของท้องฟ้า

กริ๊งงงงงง !!!

เสียงกระดิ่งไฟฟ้าดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าได้เวลาเข้าแถว โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนชายล้วน มีนักเรียนราว ๆ พันห้าร้อยคน ซึ่งจัดว่าเป็นโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ ผู้ปกครองที่ฐานะดีถึงปานกลาง จะพาลูกมาสมัครเรียนที่นี่เป็นอันดับแรก เพราะเป็นโรงเรียนเอกชนในเครือเซนต์คาเบรียล ที่มีมาตรฐานการศึกษาสูง หรือที่เรียกกันแบบชาวบ้าน ๆ ว่า “โรงเรียนฝรั่ง”

นักเรียน ตัวเล็ก ตัวใหญ่ วิ่งไปรวมกันที่สนามหน้าเสาธง เพื่อเข้าแถวตามชั้นของตัวเอง ในตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นประถม 5 แถวจะถูกจัดอยู่กลาง ๆ ถ้าหากมองจากอาคารเรียน ไปที่สนามหน้าเสาธง ชั้น ป.มูล (เทียบเท่ากับชั้นอนุบาลสมัยนี้) จะอยู่ทางด้านซ้ายสุด ไล่ไปชั้น ป 1 ป 2 ป 3 ไปจนถึง ป 7 ซึ่งอยู่ทางขวาสุด

หลังร้องเพลงชาติจบ จะมีหัวหน้านักเรียนนำสวดบูชาคุณรัตนตรัย แล้ว “ภราดา” ซึ่งใส่ชุดนักบวชนิกายโรมันคาทอลิก เป็นชุดคลุมสีขาว ดูศักดิ์สิทธิ์ ทั้งให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและดูมีเมตตาอยู่ในที ก็จะก้าวออกมาพูดให้โอวาทนักเรียน หรือว่าหากมีข่าวสารการประชาสัมพันธ์ใด ๆ ก็จะใช้โอกาสนี้เช่นกัน

“นักเรียนที่รักทั้งหลาย วันนี้ภราดามีความยินดี ที่ได้ต้อนรับครูประจำชั้น ประถมปีที่ 5 ข คนใหม่ คือคุณครูผ่องศรี นพคุณ ที่จะมาแนะนำตัวเองให้นักเรียนได้รู้จัก ขอเชิญคุณครูมาทักทายกับเด็ก ๆ หน่อยครับ”

คุณครูคนใหม่ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มมาสเตอร์ อ้อ ! โรงเรียนคาทอลิกของเรา จะเรียกครูผู้ชายว่า มาสเตอร์ แต่นักเรียนมักจะเรียกกันผิด ๆ โดยออกเสียงว่า มาสเซ่อ เว้นแต่พวกนักเรียนลิงทโมน ตัวแสบทั้งหลาย จะเรียก มาส เซ่อ โดยออกเสียงกระแทกแรง ๆ ตรงคำว่า เซ่อ อย่างตั้งใจที่จะล้อเลียนเลยทีเดียว ส่วนครูผู้หญิง ก็จะเรียกว่า “ครู” เหมือนเดิม ไม่ยักเรียกว่า มิสเตรส

ครูผ่องศรีก้าวออกมา ยิ้มให้กับนักเรียนทุกแถว ผมสังเกตเห็นว่ามีความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นในแถว โดยเฉพาะนักเรียนแถว ป 6 ป 7 จะมีการหยอกล้อ ดันหลัง กระทุ้งเอวและกระซิบกระซาบกันไปมา บ้างก็หัวเราะกันกิ๊ก แต่ก็แสดงออกกันเท่าที่จะไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง เพราะอย่างที่ผมบอกแล้ว ว่าภราดานั้น บทท่านจะเมตตา ท่านก็จะน่ารักกับนักเรียนและยิ้มหัวให้กับทุกคน แต่ถ้าท่านเห็นว่านักเรียนคนไหนเกเร ท่านก็จะเรียกออกจากแถว เพื่อมาฟาดก้นด้วยไม้เรียวต่อหน้าชั้นดัง เควี้ยว ควับ จนกระทั่งหลังแอ่นเลยทีเดียวเชียวแหละ

ผมเองก็ยอมรับว่าใจผมก็เต้นตึ้กตั้ก ผมบอกแล้วว่าครูผ่องศรีเป็นคนสวย กวียังต้องยอมแพ้ที่จะบรรยายความงาม แปลกนะครับนักเรียนมักจะชอบครูสวย ๆ ครูหล่อ ๆ ยิ่งทั้งสวยทั้งหล่อและเก่งด้วย นักเรียนทั้งห้องจะรู้สึกยืดอกอย่างภูมิใจ ว่าข้าเองมีครูประจำชั้นสวยนะโว้ย ข้ามีครูประจำชั้นหล่อนะโว้ย ข่มกันไปมาอยู่อย่างนี้ ส่วนพวกที่ได้ครูประจำชั้นไม่หล่อไม่สวย แถมดุอีกต่างหาก อย่างนี้ก็ลำบาก ชีวิตการเรียนหมดความรื่นรมย์ไปเลย เขาว่ากันอย่างนั้น

ผมดูออกว่าครูพยายามเก็บความประหม่าตื่นเต้นเอาไว้ ไม่ให้พวกเราสังเกตเห็น ผมแอบยิ้มด้วยความเอ็นดูคุณครูประจำชั้นของผม

สวัสดีค่ะนักเรียนทุกคน ครูชื่อ ครูผ่องศรี มาเป็นครูประจำชั้นประถมปีที่ 5 ข นะคะ ครูจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ เท่านี้ค่ะ” ครูผ่องศรีกล่าวแค่สั้น ๆ และเสียงสั่นเล็กน้อย

ทั้งหมดคือพิธีต้อนรับครูใหม่อย่างง่าย ๆ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครูผ่องศรี นพคุณ ก็เป็นครูประจำชั้น ป 5 ข อย่างเป็นทางการ

...........................

“ไหนใครเป็นหัวหน้าห้องคะ” ครูผ่องศรีถามขึ้นเป็นประโยคแรก ๆ หลังจากที่เข้าชั้นเรียน นักเรียนทุกคนเข้าประจำที่นั่งของตัวเองหมดแล้ว

“นายบรรจงครับ” ไอ้หมง ปากหมา เสือกขึ้นมาทันที พร้อมชี้นิ้วข้ามหัวเพื่อน มาทางผม “หมง” หรือวีรศักดิ์ ที่พวกเราเติมสร้อยให้มันว่า “ปากหมา” เพราะปากมันอยู่ไม่ค่อยสุข และชอบเสือกไปทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่ไร้สาระ ส่วนเรื่องที่เป็นการเป็นงาน หมงก็ไม่รู้หายหัวไปอยู่ที่ไหน หมงดูจะเอาการเอางานเกินไป กับการแนะนำตัวผม คงอยากประจบครูใหม่ เพราะจะได้รู้สึกปลอดภัย ถ้าหากครูประจำชั้นที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในชั้น รักและโปรดปรานมันซะอย่าง ไอ้หมงก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว นิสัยชอบประจบผู้มีอำนาจของมัน ทำให้มันเหมาะที่จะทำงานเป็นนักการเมืองหรือ สส. มาก เมื่อมันโตขึ้น

ผมลุกจากเก้าอี้ ยืนตรง เป็นการแนะนำตัวเองกับคุณครู จะว่าไปแล้วผมต้องขอบใจไอ้หมงถึงจะถูก เพราะว่าผมกับครูผ่องศรีได้สบตากันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้ ครูผ่องศรีมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ คงเห็นผมเป็นเด็กตัวแกร็น ๆ แขนขาเล็กลีบ ใส่แว่นสายตาสั้นขอบโต จนไม่สมดุลกับวงหน้าเล็ก ๆ อาจจะคิดว่าตัวเท่าลูกหมาอย่างผมจะเอาอยู่ พวกผีดิบ ๆ ตัวใหญ่ ๆ ที่ไปสุมกันอยู่ข้างหลังชั้นเรียน ได้ยังไง

คุณครูถามเรื่องทั่ว ๆ ไปในชั้นเรียน เนื่องจากครูเข้ามากลางเทอม จึงไม่รู้อะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น ข้อมูลของนักเรียนแต่ละคน ใครนิสัยยังไง ใครเรียนเก่ง ไม่เก่ง ใครมีปัญหาอะไร

“บรรจงจ๊ะ ไหนบอกครูหน่อยซิว่า ในห้อง ใครเป็นตัวแสบบ้าง ครูจะได้สนใจดูแลเป็นพิเศษ” ครูถามทีเล่นทีจริง

ผมเป็นหัวหน้าห้องมาสามสมัยติดต่อกันแล้ว แน่นอนที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่า ไอ้โต๋ชอบรังแกเพื่อน ด้วยการเดินเข้าไปแกล้งเพื่อน ตบกบาลเพื่อน โดยไม่มีสาเหตุความผิดที่ชัดเจน ไอ้อึ่งชอบล้อเพื่อนที่มีอาการตุ้งติ้งเป็นกระเทย ไอ้หมงชอบเสือกไปทุกเรื่องที่ไร้สาระ จนเพื่อน ๆ ไม่เป็นอันทำงานทำการ ไอ้แห้วชอบขโมยตังค์เพื่อนในห้องไปเล่นเกมตู้ ไอ้โป๋ชอบทะเลาะวิวาทกับเพื่อนที่ตัวเล็กกว่า และไอ้ต่ายขี้แตกในห้องเป็นประจำ เดือดร้อนนักการภารโรงทุกที ลือกันว่ามันไส้รั่ว

“ไม่มีครับ ทุกคนเรียบร้อยดี” ผมรายงานไม่เป็นความจริง

ครูเลิกคิ้ว จดจ้องดวงตาของผมไม่กระพริบ เหมือนต้องการจับผิด ผมกลับสบตากับคุณครูอย่างกล้าหาญ ซ่อนโกหกคำโตไว้ได้อย่างมิดชิด

“จริงอ้ะ” ครูเอ่ยขึ้น

“จริงครับ” ผมตอบสั้น ๆ ไม่ต่อปากต่อคำ

จริง ๆ แล้วผมไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมประกันชีวิตไม่เข้ามาหาประกันกับนักเรียนในห้องเรียนชั้นประถมหรือมัธยม พวกเค้าเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ ที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ถึงขั้นแขนขาหักได้ เพราะถูกพวกผีดิบแฟรงเกนสไตน์แถวหลังห้องทำร้าย โทษฐานไม่ยอมร่วมมือกับพวกมัน ซึ่งในที่นี้ ผมหมายถึงการปิดความลับของพวกมัน ไม่ให้ได้รับความเสื่อมเสียก่อนเวลาอันควรด้วย

“งั้นก็ดีแล้ว ครูอยากให้นักเรียนทุกคนสามัคคีกันไว้ ฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ โตขึ้นจะได้เป็นพลังของประเทศชาตินะ” ครูผ่องศรีสรุปในที่สุด

อย่างที่คุณรู้ โรงเรียนของเราเป็นชายล้วน การมาของครูผ่องศรี จึงนำความสดชื่นมาสู่ห้องเรียนของเรา โรงเรียนของเรา

สำหรับคนชอบระบายสีอย่างผม ผมจึงยกให้วันนี้ของผมเป็นสีฟ้าครับ

สีชมพู

ผมตื่นจากเตียงในยามเช้าด้วยความรู้สึกที่สดใส นกกระจอกบนสายไฟฟ้า นอกหน้าต่าง ๆ กระโดดเต้นเร่า ๆ เริงใจ


ผมจัดกระเป๋าเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พออาบน้ำแปรงฟันและทานข้าวเสร็จ ผมก็สะพายกระเป๋าเดินออกจากบ้านอย่างร่าเริง


“แหม ไปโรงเรียนเช้าจังเลยนะวันนี้” แม่พูดขึ้นมาลอย ๆ ขณะกำลังกวาดบ้าน


ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เหวี่ยงแขน โยนกระเป๋าหนังสือไปสุดแขน อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ทันรู้ตัวก็ถึงโรงเรียนเสียแล้ว


เวลาที่หอนาฬิกาของโรงเรียนเป็นเวลา 6 นาฬิกา 30 นาที ซึ่งยังเช้ามากแม้แต่ในความรู้สึกของเด็กที่ขยันมาโรงเรียนแต่เช้า ผมใส่ใจกับรายละเอียดความเคลื่อนไหวในเช้านี้ไปเสียหมด จากบริเวณที่ผมซ่อนตัวอยู่ คือหลังพุ่มชบา เมื่อมองออกไปตรงประตูทางเข้าโรงเรียน ก็จะเห็นคนเดินเข้าออกตลอดเวลา นักเรียนบ้างก็เดินกันมาเอง บ้างผู้ปกครองก็เอารถยนต์มาส่ง บ้างผู้ปกครองก็จ้างรถสามล้อถีบมา ส่วนคุณครูคนอื่น ๆ ก็มีรถของตัวเอง ซึ่งผมหมายถึงทั้งรถจักรยาน จักรยานยนต์ และรถยนต์


แล้วรถโฟล์คเต่าสีส้มก็เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ ผมมองนาฬิกา เป็นเวลา 7 นาฬิกา 28 นาที ผมจดจำเวลาใส่สมองไว้และหลังจากนั้นผมก็มีนัดกับครูผ่องศรีในเวลาใกล้เคียงกันนี้ ทุก ๆ วัน

..............

ระบบการเรียนในสมัยนั้น เป็นระบบการเรียนแบบเก่า ที่เราอยู่นิ่ง ๆ ในห้องเรียน แล้วคุณครูสลับหน้ามาสอนพวกเราเอง อย่างเช่นในวันนี้เริ่มตั้งแต่เช้าด้วยวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งสอนโดยมาสเตอร์สมชาย ทำให้เราเจอกับครูผ่องศรีแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ที่เข้ามาเช็คชื่อเท่านั้น หลังจากจบวิชาคณิตศาสตร์ ก็เป็นวิชาภาษาอังกฤษ ของครูลำดวน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นครูที่ดุมากที่สุดคนหนึ่ง พวกเราชอบดูลิ้นของครูลำดวน ตอนแกสาธิตการพูดให้ชัดเจนแบบฝรั่ง เวลาแกทำปากและลิ้นห่อ ๆ เพื่อออกเสียง จะคล้ายฝรั่งมาก แต่พวกเราดูแล้วตลกจนไม่กล้าเลียนแบบ แต่พวกลิงทโมนแก็งค์ไอ้แห้ว ไอ้โป๋ ไอ้โต๋ ไอ้อึ่ง จะเอามาเล่นมุขซะมากกว่า โดยทำเลียนแบบบุคลิกของครูลำดวน และแน่นอน นั่นคือตอนที่ครูลำดวนเดินพาร่างอ้วนจ้ำม่ำของแกออกจากห้องไปแล้ว


แต่ช่วงบ่าย ครูผ่องศรีรับเหมาสอนหลายวิชา ทำให้ช่วงบ่ายเป็นเวลาแห่งความเพลิดเพลิน เพราะได้อยู่กับครูผ่องศรี เราได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์และวิชาภาษาไทยจากคุณครู ผมมารู้ทีหลังว่าครูผ่องศรีเรียนเอกภาษาไทยมา ทำให้วิชานี้เป็นความโดดเด่นของคุณครู


นักเรียน อ่านอาขยานบทนี้ตามครูนะคะ” ครูผ่องศรีอ่านอาขยานจากหนังสือแบบเรียน เสียงเจื้อยแจ้วและนุ่มนวลกังวาลดั่งเสียงระฆัง “ สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม”


เอ้า บรรจงมาอ่านอาขยานให้ครูฟังหน่อยซิ” ครูเจาะจงมาที่ผม ผมลุกจากเก้าอี้เดินไปรับหนังสือแบบเรียนมาจากคุณครู


ครูผ่องศรีอยู่ทางด้านหลังของผม แล้วเอื้อมมือมาชี้อาขยานบทที่จะให้ผมอ่าน ด้วยอาการดังนี้ ครูผ่องศรีจึงอยู่ใกล้ผมเข้ามาอีก จนผมได้กลิ่นน้ำหอมที่คุณครูประพรม


บทนี้นะ เอ้า ลองดูซิว่าอ่านได้มั้ย”


แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย" ผมอ่านทำนองเสนาะเจื้อยแจ้วอย่างมั่นอกมั่นใจ


ดีมากจ้ะ อ่านได้ไพเราะมากเลย”ครูเข้ามาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู แล้วก็หันมาพูดกับนักเรียนทั้งชั้น “เอ้า ตบมือให้บรรจงหน่อย เก่งมากจ้ะ ”


แล้วเพื่อน ๆ ก็ปรบมือให้ผมอย่างเกรียวกราว แต่ถ้าหูผมไม่ฝาด ผมว่าผมได้ยินเสียงกระทืบเท้าปนมาจากแถวหลัง ๆ ด้วย


หลังจากผมส่งคุณครูกลับขึ้นรถโฟล์คเต่าในวันนั้นแล้ว ผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ผิวปาก และเหวี่ยงกระเป๋าไปข้างหน้าสุดวงแขน ด้วยอากัปกิริยาเช่นนี้ไปตลอดทาง จนถึงบ้าน


วันนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีชมพู แถมเป็นสีชมพูที่มีกลิ่มหอมของน้ำหอมจาง ๆ ด้วย


สีเทา

ผมคิดว่ามีเพียงไม่กี่คน ที่อยากจะระบายสีเทาลงไปบนภาพเขียน

กาลเวลาผ่านมาแล้วสี่เดือนเต็ม ๆ ย่างเข้าปลายเดือนตุลาคม ผมนั่งอยู่ใต้ต้นจามจุรีใหญ่ ที่มีฝักสีน้ำตาลของมันเกลื่อนกล่นอยู่เต็มพื้น ท้องฟ้ายามนี้หม่นหมอง จนแสงแดดขี้คร้านจะออกมาเล่นด้วย

แต่ใจของผมตอนนั้นมันช่างหม่นหมองยิ่งกว่า ทางบ้านของผมเริ่มมีบรรยากาศไม่ดี พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อย ๆ ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร พ่อไม่ค่อยกลับบ้าน เห็นว่าไปสมาคมจีน คุยกับพวกคนจีนนาน ๆ ถึงดึกดื่น พอกลับบ้านมาก็เมาแอ๋


ส่วนบรรยากาศในชั้นเรียน ก็ไม่สนุกเหมือนเดิม ครูผ่องศรีหน้าตาไม่ค่อยผ่องแผ้ว หมง ปากหมา บอกว่าครูทะเลาะกับผัวมา ซึ่งผมว่ามันปากหมาไปงั้นเอง แต่บางทีก็อดเชื่อตามไม่ได้ เพราะถ้าหากว่าความรักของคุณครูเริ่มไม่สดใส ก็คงลามมาถึงนักเรียนไม่ยาก บางทฤษฎีก็ว่าสามีของครูคงไปติดสาวเอ๊าะ ๆ คนอื่น แต่ครูสวยออกยังงั้น ยังโง่ไปติดสาวอื่นเหรอ หมง ปากหมา บอกว่าเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเราไม่เข้าใจหรอก

แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องใหญ่ ครูผ่องศรีให้การบ้านภาษาไทยกับพวกเรา ระหว่างหยุดเสาร์อาทิตย์ เป็นบททดสอบการอ่านและวิเคราะห์เรื่อง ครูแจกชีทที่โรเนียวมาให้กับนักเรียนทุกคน โจทย์ของการวิเคราะห์ก็ไม่ยาก เรื่องมีอยู่ว่าไก่ฟ้าตัวนึงไปติดกับดักของนายพราน ไก่ฟ้าขอชีวิตโดยบอกว่าหากปล่อยมันไป มันจะไปหลอกล่อให้เพื่อน ๆ มาติดกับดักของนายพรานเยอะ ๆ นายพรานแค่นหัวเราะบอกว่า ไก่ฟ้าตัวนี้ โกหกปลิ้นปล้อน เพื่อเอาตัวรอด คบไม่ได้ เลยสังหารซะ เรื่องก็จบเท่านี้ แล้วในชีทก็จะมีคำถามเชิงวิเคราะห์ให้ตอบสองสามคำถาม เช่น การกระทำของนายพรานถูกต้องหรือไม่ ให้อธิบายรายละเอียด และนักเรียนได้อะไรเป็นข้อคิดเตือนใจจากนิทานเรื่องนี้บ้าง ให้ระบุ


การวิเคราะห์จากเรื่องเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับผม ผมใช้สมองวิเคราะห์ไม่นานนักและเขียนอย่างรวดเร็วลงในชีท จากนั้นก็สอดเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะของผม และไม่ได้เฉลียวใจว่าจะมีเหตุร้ายตามมาในวันจันทร์


...........


เลยเวลา 7นาฬิกา30 นาที ไปนานแล้ว แต่ผมก็ไม่เห็นวี่แววรถโฟล์คเต่าสีส้มคันนั้นเลย ผมอดเป็นห่วงคุณครูไม่ได้ กำลังจะเดินไปดูที่หน้ารั้ว ก็พอดีเห็นคุณครูก้าวลงมาจากรถโดยสาร

คุณครูหน้าตาหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ตาก็แดงช้ำ เหมือนกับผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน

ในชั่วโมงเรียนภาษาไทยของบ่ายวันนั้น ครูเดินเข้าห้องมาพร้อมกับชีทที่พวกเรารวบรวมส่งให้ครูตั้งแต่ตอนเช้า ครูกระแทกหนังสือที่หอบมาด้วย ลงบนโต๊ะดังโครม มองมาที่กลุ่มนักเรียนด้วยสีหน้าโกรธจัด


ไหน ใครเป็นคนเอาการบ้านให้เพื่อนลอก อย่าบอกนะว่าไม่ได้ลอกกัน มีอย่างที่ไหน คำถามวิเคราะห์แท้ ๆ แต่ตอบตรงกันเด๊ะทุกคำทุกประโยคเลย” ครูแว้ดใส่พวกเราเป็นชุด ๆ เสียงแว้ดของคุณครูไม่น่าฟัง ทั้งแหลมเสียดหู และน่ากลัวมาก


พวกเราถูกสั่งให้ยืนขึ้น เราก้มหน้ากันทุกคนโดยอัติโนมัติ แม้แต่นักเรียนที่ไม่ได้ลอกจริง ๆ ก็ยังไม่กล้าสบตาครู


นี่น่ะ อะไรกัน” ครูหยิบปึกชีทที่อยู่ในกลุ่มลอก ขึ้นมาอ่านเสียงระรัวอย่างโกรธจัด “ ข้อคิดเตือนใจของนิทานเรื่องนี้คือ คนเราควรจะมีคุณธรรมความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง คิดเอาตัวรอด เหมือนอย่างไก่ฟ้าอันแสนจะปลิ้นปล้อนตัวนี้ ที่โกหกนายพรานผู้แสนจะเก่งกล้า ว่าจะพาเพื่อนมา...”


ครูหยุดอ่านแล้วเงยหน้าจากแผ่นกระดาษ มองหน้านักเรียนที่หลบสายตากันไปมา ย้ำคำช้า ๆ


สำนวนเหมือนกันหมด ใคร ใคร ใคร!!

ผมรู้ว่าเป็นต้นฉบับมาจากผม ผมกำลังจะยกมือสารภาพ ก็พอดี......


ผมเองครับ ครู ผมเป็นคนให้ลอกเองครับ” เป็นเสียงของหมง ปากหมา

เปล่าครับ ครู ของผมตังหาก” ผมค้าน


อ๋อ ดี ดีละ พวกเธออยากรับผิดชอบแทนกันใช่มั้ย ถ้างั้นพวกที่ลอกออกมาให้หมด เดี๋ยวนี้เลย”ครูแหวใส่

พวกเราที่อยู่ในกลุ่มลอกออกมายืนกันทั้งหมด แต่คุณครูก็ไม่ละความพยายามที่จะหาคนผิด เลยหันไปถามเพื่อนของผมคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ลอกกับเขาด้วย ว่าใครให้ลอก แต่ไม่มีใครเอ่ยปาก ทำให้ครูผ่องศรียิ่งโมโห พาลทำโทษหมดทั้งห้อง ด้วยการฟาดไม้เรียวสุดแรงเกิด จนหลังแอ่นกันหมดทุกคน


ครูฟาดก้นนักเรียนคนสุดท้าย คือผม ซึ่งโดนสองเท่าในฐานะหัวหน้าห้อง ก่อนที่ครูจะแอบปาดน้ำตารื้น ๆ ของตัวเอง


วันนั้นผมเดินกลับบ้านอย่างซึมเซา พอน้ำตามันรื้นขึ้นมา ผมก็ถอดแว่นตาเพื่อปาดน้ำตาออกเสียทีหนึ่ง


สีดำ

มีเรื่องชวนละอายเกิดขึ้นตอนสาย ๆ ของกลางสัปดาห์ ก่อนวันคริสต์มาสสองสามวัน นำไปสู่การไต่สวน ลงโทษและพาลไม่ได้เรียนหนังสือกันทั้งวัน


ตั้งแต่ตอนที่ครูผ่องศรีลงโทษพวกเราทั้งชั้น มีหลายคนรู้สึกละอายต่อการลอกการบ้านและไม่กลับไปทำอีก เรื่องราวผ่านมาเกือบสองเดือนและลืมเรื่องนี้กันไปหมดแล้ว...แต่ไม่ใช่ทุกคน


วันนั้นคุณครูปล่อยให้พวกเราอ่านหนังสือเตรียมสอบแต่จะผลัดกันเรียกพวกเราไปหาที่โต๊ะ เพื่อทดสอบการอ่านอาขยานเป็นรายบุคคลด้วย ตอนที่สมาชิกแก็งค์ป่วนคนใดคนหนึ่งออกไปอ่านอาขยานที่โต๊ะครู จะต้องมีเสียงหัวเราะคิกคัก ๆ ดังจากทางท้ายแถวเสมอ ๆ ซึ่งตอนแรกก็ไม่มีใครฉุกใจคิดอะไร นึกว่าเป็นการล้อเลียนกันเอง แต่เรื่องมาแตก ตอนที่มีเพื่อนเราคนหนึ่งในกลุ่มเด็กเรียน ที่ออกไปอ่านอาขยาน สังเกตว่าตรงพื้นบริเวณที่ครูผ่องศรีนั่ง แปะไว้ด้วยเศษกระจกเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งสะท้อนเข้าไปใต้กระโปรงคุณครูพอดี เพื่อนเราคนนั้นเลยฟ้องคุณครู ผมจำได้ว่าครูผ่องศรีไม่ได้ลงโทษหรือว่าใครซักคน นอกจากแสดงอาการตกใจเอามือทาบอก หน้าเสีย ตาแดง ๆ และถลันออกจากห้องไปในทันที


มีการสอบสวน จากภราดา ฝ่ายปกครอง พวกแก็งค์ป่วนถูกลงโทษอย่างรุนแรง ด้วยการเฆี่ยนประจานในหอประชุมโรงเรียน พวกนั้นคงเจ็บสาหัสและอับอาย แต่รอยเจ็บที่ไม่มีทางหายได้ และความอับอายที่สุดทน ก็คือคุณครูต่างหาก


ผมไปดักพวกแก็งค์ที่หลังโรงเรียนหวังคาดคั้นเอาผิดกับพวกมัน เจอพวกมันครบแก็งค์ ผมท้าชกกับไอ้โต๋ตัวต่อตัว ผลก็คือผมเป็นฝ่ายฟกช้ำดำเขียวและเดินแว่นแตกกลับบ้าน


กลับมาถึงบ้านแม่บอกว่าพ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล หลังจากที่ผ่านมาพ่อดื่มเหล้าหัวราน้ำ เมาแอ๋กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ วันนั้นพ่อไถลลื่นล้มลงและช็อคไม่รู้สึกตัวอีกเลย


.............


สีรุ้ง

พ่อโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาลฉะเชิงเทรา สมาชิกในบ้านผลัดกันไปเยี่ยม ครบสองอาทิตย์พ่อผมก็จากไป

ครอบครัวเราจัดการเรื่องงานศพจนเรียบร้อย ผมก็กลับมาเรียนตามปกติ พวกแก็งค์ตัวแสบถูกย้ายไปเรียนห้อง ค จนหมด ผมห่างห้องเรียนไปทั้งอาทิตย์ กลับมารู้สึกแปลกแยกชอบกล เพื่อน ๆ ก็มองผม เหมือนอยากจะส่งผ่านความเห็นใจมาให้ ผมไม่ค่อยกล้าสบตาครูผ่องศรี ทั้งที่ใจอยากให้ครูถามผมเรื่องทางบ้านบ้าง ผมยังอยากถามเรื่องทางบ้านของครูเลย


แต่ทั้งวันคุณครูก็ไม่ได้ถามอะไรจากผม จนกระทั่งหลังเลิกเรียน เพื่อน ๆ กลับกันไปเกือบหมดแล้ว เหลือผมกับเพื่อนอีกสองสามคนที่เป็นเวรทำความสะอาดในห้อง ครูผ่องศรี ก็เรียกผมไปหาที่โต๊ะครู


ครูเสียใจด้วยกับการจากไปของพ่อเธอนะ” ครูเอ่ยกับผมอย่างอ่อนโยน มองผมอย่างใส่ใจ และเอามือแตะไหล่


ขอบคุณครับ” ผมเบือนหน้าหนีคุณครู ทั้งที่ไม่สมควร เพราะความรู้สึกอัดแน่นกำลังท่วมทับอยู่ในหน้าอก จนพูดไม่ออก น้ำตารื้นขึ้นมาอีก ไม่รู้เป็นเพราะว่าความรู้สึกที่พ่อจากไปหรือความใส่ใจที่ครูมีให้กันแน่

พรุ่งนี้เราจะไม่ได้เจอกันแล้วนะ บรรจง” ครูเอ่ยขึ้น


ผมใจหายวาบ งงกับสิ่งที่ครูพยายามบอก ผมไม่อยู่ตลอดอาทิตย์ คงมีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ยิ่งทำให้อยากรู้เรื่องของคุณครูมากขึ้น อยากจะถามว่าเรื่องอะไร แต่เด็กตัวเล็ก ๆ จะถามเรื่องของผู้ใหญ่ได้หรือ อยากจะหันหน้ากลับมาสบตาครู แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดี


ครูส่งห่อกระดาษสายื่นใส่มือผม บอกว่ากลับบ้านไปค่อยแกะ ผมได้แต่ตอบคำว่า ขอบคุณครับ แล้วคุณครูก็เดินจากไป


ผมยืนนิ่งอยู่จุดเดิม นานเท่าไรไม่รู้ แต่พอนึกขึ้นได้ ผมก็รีบวิ่งไปหน้าอาคารเรียน มองหารถโฟล์คสีส้ม แล้วก็เห็นรถโฟล์คกำลังจะผ่านประตูโรงเรียนออกไป ยังทันได้เห็นว่าบนรถมีครูผ่องศรีอยู่บนเบาะที่นั่งคนขับเพียงลำพัง แล้วรถก็ลับสายตาผมไป


นั่นเป็นภาพสุดท้ายของครูผ่องศรีที่อยู่ในความทรงจำของผม


........


พอผมกลับถึงบ้าน รีบแกะห่อกระดาษสาออก มันคือแบบเรียนภาษาไทยเล่มที่ผมอ่านอาขยาน ข้างในปกเขียนไว้ด้วยลายมือคัดตัวบรรจงของคุณครูผ่องศรี นพคุณ


แด่บรรจง ลูกศิษย์ที่ครูรักมากที่สุด.....เห็นทุกเช้า ๆ เธอมาดูแลต้นชบาตรงหน้าอาคารตลอดเลย ครูไปแล้ว อย่าลืมดูแลเขาเหมือนเดิมล่ะ”


บรรทัดต่อมา มีลายเซ็นของครูกำกับไว้


.........


ผมอดยิ้มไม่ได้กับประโยคที่คุณครูเขียนฝากไว้ ขณะกำลังรดน้ำต้นชบาที่ปลูกเป็นแนวรั้วบ้านผม ลำแสงสีเหลืองที่ตัดผ่านม่านน้ำตอนรดต้นชบา ทำให้เกิดประกายสายรุ้งจาง ๆ

ครูครับ นี่ก็เนิ่นนานถึง 35 ปีแล้ว แต่ผมยังคิดถึงคุณครูเสมอนะครับ


.............................................


2 ความคิดเห็น:

  1. สนุกมากมายเลยฮับ

    ตอบลบ
  2. หมออนามัยบ้านนอก เพื่อนเก่าและค่อนข้างแก่12 พฤษภาคม 2553 เวลา 08:01

    อ่านแล้ว..นึกถึงวันเก่า ๆ สมัยอยู่ประถมจังเลย..แต่ไม่ได้แอบรักครูเหมือนบรรจงนะ..เพราะโรงเรียนบ้านนอกตอนนั้นมีครู แค่3คนเอง..ตอนนี้รักครูทั้ง 3มากขึ้นหลายเท่าเลยละ

    ตอบลบ